เลอบรอน เจมส์ “เดอะ แบก” ตัวจริงเสียงจริง

ภาษาคนดูกีฬาวัยรุ่นยุคนี้ มีศัพท์หนึ่งคำที่นิยมใช้กันแพร่หลายสำหรับนักกีฬายอดฝีมือในกีฬาประเภททีม กับคำว่า” “เดอะ แบก”” ที่มักใช้อธิบายถึงนักกีฬาซึ่งเป็นตัวเด่นของทีม บ่อยครั้งที่ต้องรับภาระหน้าที่ในการพาทีมพ้นวิกฤติหรือคว้าชัยชนะ

ไม่ใช่แค่กำลังหลัก แต่หลายครั้งอาจต้องเล่นแบบ “วันแมนโชว์” เพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จ

อย่างศึก “ยูโร 2016” เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลายคนยกให้ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” ซุป”ตาร์ของรีล มาดริด (ซึ่งปัจจุบันค้าแข้งกับยูเวนตุส) เป็น “เดอะ แบก” ของทีมชาติโปรตุเกส จนพาทีมคว้าแชมป์มาครอง

มาถึงศึก “ฟุตบอลโลก 2018” โรนัลโด้ก็เป็นเดอะ แบก อีกครั้ง แต่คราวนี้แบกไม่ไหว ทีมพ่ายตกรอบไปแบบไม่มีลุ้น

อย่างไรก็ตาม หากจะเอ่ยถึงนักกีฬาที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ดังกล่าวมากที่สุดในยุคปัจจุบัน แบบไม่จำกัดแค่กีฬาฟุตบอลเพียงอย่างเดียว

คงต้องยกเครดิตนี้ให้กับเลอบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์ของทีมแอลเอ เลเกอร์ส ในลีกบาสเกตบอลเอ็นบีเอ เป็นอันดับแรก

“คิงเจมส์” ได้รับการยกย่องจากคนในแวดวงยัดห่วงว่าเป็นหนึ่งในนักบาสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน บ่อยครั้งที่คนมักจะยกเขาเทียบเคียงหรือเปรียบเทียบกับราชันในอดีตอย่าง “ไมเคิล จอร์แดน” หรือรุ่นพี่ที่เพิ่งอำลาวงการไปไม่นานอย่าง “โคบี้ ไบรอันต์”

ข้อแตกต่างของเจมส์กับ 2 คนนั้นคือ ความเป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์ ในแง่ของเกมรุก ช่วงพีกสุด อาจกล่าวได้ว่า เอ็มเจกับโคบี้เหนือกว่า แต่ในแง่เกมรับ เจมส์มีบทบาทสำคัญกับทีมอย่างยิ่งยวดกว่าทั้ง 2 ตำนานข้างต้นมาก และต้องชื่นชมด้วยซ้ำที่ผู้เล่นซึ่งติดทีมรับยอดเยี่ยมของลีกถึง 6 สมัย ทำแต้มเฉลี่ยต่อนัดตลอดการเล่นบาสอาชีพได้ถึง 27.2 แต้ม

ความที่เด่นทั้งรับและรุกทำให้เขาทยอยทำลายสถิติที่สุดหรืออายุน้อยที่สุดของเอ็นบีเอได้หลายต่อหลายครั้ง

หนึ่งในสถิติที่สะท้อนความสามารถอันหลากหลายของเขามากที่สุด คือการเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ทำแต้มรวมอย่างน้อย 31,000 คะแนน ทำสถิติรีบาวด์รวมอย่างน้อย 8,000 ครั้ง และสถิติแอสซิสต์รวมอย่างน้อย 8,000 ครั้ง

เจมส์เริ่มต้นอาชีพนักบาสเกตบอลกับทีม “คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส” ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิด พาทีมที่มีผลงานตกต่ำก่อนหน้านั้นเข้าถึงรอบเพลย์ออฟได้ถึง 5 ฤดูกาลติดต่อกัน ระหว่างปี 2006-2010

เฉพาะรอบเพลย์ออฟ 5 ปีนั้น เจมส์ทำแต้มเฉลี่ยต่อนัดในแต่ละฤดูกาลไม่เคยทำต่ำกว่า 25 คะแนน ส่วนสถิติรีบาวด์เฉลี่ยอยู่ที่ 7-9 ครั้ง และสถิติแอสซิสต์เฉลี่ยราว 5-8 ครั้งต่อเกม

เจมส์พาแคฟส์ไปได้ไกลถึงที่สุดในการร่วมทีมหนแรกคือรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอปี 2007 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม ก่อนจะพ่ายให้ “ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส” ขาดลอย 0-4 เกม ในรอบชิงชนะเลิศ

หลังจากนั้นเขาตัดสินใจย้ายไปไมอามี ฮีต เพื่อไขว่คว้าความสำเร็จ ท่ามกลางความโกรธขึ้งและเสียงตัดพ้อจากแฟนๆ คาวาเลียร์สที่มองว่าเขาคิดถึงตัวเองและรายได้เป็นหลัก

ที่ไมอามี เจมส์ทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะมีเพื่อนร่วมทีมฝีมือดี เป็น 3 ประสาน “บิ๊กทรี” คือ “ดเวย์น เวด” และ “คริส บอช” จนสามารถคว้าแชมป์เอ็นบีเอได้สมใจถึง 2 สมัยซ้อนในปี 2012 และ 2013

หลังจากนั้นเขาตัดสินใจกลับสู่บ้านเกิดเพื่อร่วมทีมคาวาเลียร์สอีกครั้ง โดยประกาศว่าการกลับมาครั้งนี้เพื่อสานต่องานที่ยังคั่งค้างให้ลุล่วง นั่นคือ การพาทีมเป็นแชมป์ลีกให้ได้

ช่วงแรกๆ คาวาเลียร์สยังค่อนข้างทุลักทุเล เพราะเจมส์เป็นเหมือนตัวหลักคนเดียวที่ต้องคอยแบกทีม กระทั่งฤดูกาลถัดมา ผู้เล่นหลายคนเริ่มเข้าขา พัฒนาตัวเองจนช่วยทีมได้ โดยเฉพาะ “ไครี่ เออร์วิ่ง” และ “เควิน เลิฟ”

ซึ่งแม้ว่าชื่อชั้นของผู้เล่นคนอื่นๆ โดยรวมจะไม่โดดเด่นนัก แต่เจมส์ก็พาแคฟส์คว้าแชมป์สายตะวันออกได้ถึง 4 ปีซ้อน ระหว่างปี 2015-2018

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2016 ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ด้วยการพลิกสถานการณ์จากที่ตาม “โกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ส” 1-3 เกม กลับไปชนะ 4-3 ในการเล่นนัดสุดท้ายที่บ้านของวอร์ริเออร์ส

หลายครั้งที่เขาต้องฝืนลงสนามทั้งที่เจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเพลย์ออฟซึ่งร่างกายมีอาการอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเจมส์ไม่ลงสนาม เกมของแคฟส์ก็จะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

แต่พอคว้าแชมป์ดังกล่าวแล้ว ไครี่ เออร์วิ่ง ย้ายทีมในฤดูกาล 2017-2018 ภาระหนักจึงตกอยู่กับเจมส์ที่ต้องแบกทีมอีกครั้ง คราวนี้ถึงจะเข้าชิงได้ แต่ก็ไปพ่ายให้วอร์ริเออร์สขาดลอย (ชนิดแฟนๆ บอลว่า ทั้งทีมเหมือนมีเจมส์เล่นอยู่คนเดียว) เขาจึงตัดสินใจย้ายทีมในฐานะผู้เล่นฟรีเอเย่นต์

การเลือกเล่นให้แอลเอ เลเกอร์ส ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะถึงทีมนี้จะเป็นทีมเก่าของโคบี้ เคยคว้าแชมป์เอ็นบีเอมาแล้วถึง 16 สมัย แต่ผลงานยุคหลังตกต่ำย่ำแย่ ไม่ได้เล่นเพลย์ออฟมาแล้ว 5 ฤดูกาลติดต่อกัน แถมในทีมยังเป็นนักบาสคนหนุ่มที่ยังขาดประสบการณ์อยู่มาก

การมาของเจมส์ช่วยยกระดับทีมขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัด จนถึงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม เลเกอร์สมีสถิติชนะ 17 แพ้ 10 เป็นอันดับ 5 ของสายตะวันตก อยู่บนเส้นทางที่จะได้ไปเล่นรอบเพลย์ออฟ

ฤดูกาลนี้ เจมส์ลงเล่นไปแล้ว 27 นัด ทำสถิติเฉลี่ยสูงที่สุดในทีมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทำแต้มเฉลี่ย 28.3 คะแนน, รีบาวด์เฉลี่ย 7.7 ครั้ง หรือแอสซิสต์เฉลี่ย 7.1 ครั้ง

และเมื่อมองย้อนไปยังทีมคาวาเลียร์สที่เขาจากมา ตอนนี้มีสถิติชนะเพียง 6 นัด แพ้ถึง 21 นัด อยู่ตำแหน่งรองบ๊วยของสายตะวันออก

ดเวย์น เวด เพื่อนเก่าจากไมอามี ฮีต ที่กำลังจะอำลาวงการหลังจบฤดูกาลนี้เชื่อว่าเจมส์จะพาเลเกอร์สประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งพอนักข่าวถามถึงเหตุผล เวดบอกว่าไม่ต้องมีคำอธิบายมากมาย “เพราะเขาคือเลอบรอนไงล่ะ”

เลอบรอน “เดอะ แบก” เจมส์ ตัวจริงเสียงจริง!