จับตาดูทิศทางฟุตบอลไทย เมื่อ 2 บิ๊กแห่ง ส.ลูกหนังแตกคอ

นับว่าเป็นการสั่นสะเทือนวงการลูกหนังไทยกันอีกครั้ง กับข่าวใหญ่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ออกมาเปิดเผยว่าสมาคมได้ปลด “บิ๊กเจี๊ยบ” “พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก เลขาธิการสมาคม ออกจากตำแหน่ง

สาเหตุหลักๆ ที่บิ๊กอ๊อดบอกกล่าวต่อผู้สื่อข่าวก็คือ ได้รับการเข้าชื่อจากสโมสรสมาชิกเป็นจำนวนมาก รวมถึงการโหวตจากสภากรรมการอย่างเอกฉันท์ เนื่องมาจากไม่พอใจการทำงาน

รวมถึงมักนำเรื่องภายในไปบอกกล่าวต่อคนอื่นจนก่อให้เกิดปัญหา

จริงๆ ก็ต้องบอกว่า พล.ต.ท.พิสัณห์นั้นถือว่าเป็นคนชักชวน พล.ต.อ.สมยศเข้ามาสู่วงการลูกหนัง เข้ามาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

หากย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ในการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ครั้งนั้น เดิมที พล.ต.ท.พิสัณห์เองก็ถือว่าเป็นผู้ที่เคยทำงานร่วมกับอดีตนายกอย่าง “บังยี” “นายวรวีร์ มะกูดี” มาก่อน ก่อนที่จะแยกตัวออกมาเป็นผู้ท้าชิงในตอนแรก

ก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดปัญหาใหญ่ เมื่อมีการล้มกระดานการเลือกตั้ง แล้ว “สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ” (ฟีฟ่า) ตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาเพื่อจัดการการเลือกตั้ง รวมไปถึงนายวรวีร์เองก็ถูกแบนห้ามยุ่งกับวงการฟุตบอล ทำให้ไม่สามารถลงป้องกันตำแหน่งของตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความนิยมของตัว พล.ต.ท.พิสัณห์เองที่มีค่อนข้างน้อย จึงจำเป็นต้องหาผู้มีบารมีมากกว่าเข้ามา เลยไปชักชวนเพื่อนรักที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่โรงเรียนนายร้อย จปร. อย่างบิ๊กอ๊อด ซึ่งเคยเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีเพียบพร้อมทั้งศักดิ์ศรีและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย

และกลายเป็นว่าการดึงเอาบิ๊กอ๊อดเข้ามานั้น พลิกเกมการเลือกตั้งทั้งหมดออกไป

สุดท้ายอดีต ผบ.ตร.ก็ได้รับเสียงข้างมาก เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ในที่สุด พร้อมกับการให้เพื่อนรักผู้ชักชวนเข้าวงการอย่างบิ๊กเจี๊ยบนั้นนั่งตำแหน่งพ่อบ้านสมาคม

ท่ามกลางเสียงที่ค่อนข้างไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักกับการแต่งตั้งครั้งนี้

ประมุขลูกหนังไทยเล่าให้ฟังว่า หลังจากเลือกตั้งได้ตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มานั้น จะตั้งให้ พล.ต.ท.พิสัณห์เป็นเลขาธิการ ก็ปรากฏว่ามีเสียงคัดค้านจากสโมสรสมาชิก แต่ทว่าตัวเองกลับดันทุรัง เพราะคิดว่าประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมาของ พล.ต.ท.พิสัณห์จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมไปถึงยังมีความเป็นเพื่อนกัน จึงขอร้องสมาชิกให้เห็นแก่ตนยอมรับการแต่งตั้ง ถ้าหากไม่ดีก็ค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง

แต่ก็ต้องยอมรับว่าบิ๊กเจี๊ยบนั้นก็มีปัญหาภายนอกที่ทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ดีเท่าไหร่ ทั้งการที่ถูก “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” หรือ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิด ซึ่งในคดีส่วนกลางนั้นก็มีชื่อของตัวบิ๊กเจี๊ยบอยู่ด้วย หลังเข้ามารับตำแหน่งไม่นานเท่าไหร่

และเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกยกให้เป็นเหตุการณ์สำคัญในการปลดบิ๊กเจี๊ยบครั้งนี้คือ เมื่อตอนปี พ.ศ.2559 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี พล.ต.ท.พิสัณห์ออกมาแฉว่านักเตะทีมชาติไทยในชุดนั้นมีปัญหาเรื่องวินัย และยังมีเรื่องของการสูบบุหรี่ มีกัญชาไว้ในครอบครอง ทำตัวไม่เหมาะสมต่างๆ นานา จนเป็นเหตุให้ผลงานย่ำแย่ในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว

เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากๆ โดยเฉพาะทั้งสโมสรสมาชิกและผู้ปกครองไม่พอใจอย่างมาก ตำหนิการออกข่าวแบบนี้ออกมาอย่างหนัก

ซึ่งตอนนั้น พล.ต.ท.พิสัณห์เองก็พร้อมจะลาออก แต่ พล.ต.อ.สมยศก็พยายามรั้งเอาไว้จนเรื่องเงียบ

“ทว่าภายในยังมีการกดดันเรื่อยๆ กระทั่ง 2 เดือนก่อนหน้านี้มีการเข้าชื่อกันมา ผมก็ต่อรองว่าไว้หลังซูซูกิ คัพ หรือเอเชี่ยน คัพ แต่ทานไม่ไหว ผมก็จนแต้ม เพราะการที่ผมนั่งนายกสมาคม เพราะแรงสนับสนุนจากสมาชิก” บิ๊กอ๊อดเล่าให้ฟังถึงจุดแตกหักในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีอะไรออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร แม้ตัวบิ๊กเจี๊ยบจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการแล้ว แต่ทางบิ๊กอ๊อดพยายามอย่างเต็มที่ให้บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น เพื่อให้เรื่องนี้น่าจะจบลงด้วยดี

ซึ่งสถานการณ์เองก็ดูดีขึ้น หลังจากที่เดิมทีนั้นบิ๊กเจี๊ยบจะตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงข้อมูลในฝั่งของตัวเองบ้าง แต่ตอนนี้ได้ยกเลิกการแถลงข่าว ด้วยการให้เหตุผลสั้นๆ เพียงแค่ว่า “ขอเจ็บคนเดียว สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย”

ดูจากรูปทรงที่ออกมา เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะมีการคุยกันภายใน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ออกมาให้ดีที่สุด ต่างฝ่ายไม่ต้องขุดคุ้ยเรื่องไม่ดีของแต่ละฝั่งออกมา อันเป็นการเปิดแผลให้บุคคลจากภายนอกใช้เรื่องนี้เป็นข้อด้อยที่ใช้ในการโจมตีได้

เพราะต้องไม่ลืมว่า เหลือเวลาอีกเพียงปีเศษๆ วาระของนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็จะหมดลง และก็จะเข้าสู่การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ครั้งใหม่ ดังนั้น การเปิดช่องให้อีกขั้วอำนาจหนึ่ง ที่รอวันกลับมาผงาดอีกครั้ง ใช้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น เป็นการดึงเสียงข้างมากให้กลับไปอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

ใช่ครับ ผมกำลังหมายถึงนายวรวีร์ ที่เตรียมจะพ้นโทษแบนจากฟีฟ่าในเดือนเมษายน พ.ศ.2563 ทำให้เจ้าตัวมีลุ้นกลับมาลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมคืนกลับมาได้อีกครั้ง

จริงอยู่ที่ตอนนี้เจ้าตัวยังไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลได้ตามโทษที่ได้รับอยู่ แต่เราก็ได้เห็นการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งที่อยู่ภายนอกวงการฟุตบอล นั่นก็คือการเตรียมลงเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

นายวรวีร์เข้าไปร่วมกับ “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา” จัดตั้ง “พรรคประชาชาติ” ขึ้นมา ซึ่งดูแล้วเป็นพรรคที่มีฐานเสียงไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในแถบภาคใต้ ซึ่งตัวพรรคเองหวังจะได้ที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 20 ที่ด้วยกัน

และถ้าหากว่าได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ตัวบังยีในฐานะที่เป็นผู้ร่วมจัดตั้งพรรคก็คงจะต้องมีอำนาจต่อรองพอสมควร ที่จะหาตำแหน่งในวงการกีฬา เพื่อได้กลับเข้ามาทำงานตรงนี้อีกครั้ง

แต่ถ้าหากมองว่าตัวพรรคไปไม่ตามที่ตั้งเป้า ก็อาจจะทำให้บังยีหวนกลับมาลุยวงการฟุตบอลแบบเต็มตัวอีกครั้งหนึ่งได้เช่นกัน

อย่างที่เห็นกันว่าเหลือเวลาอีกเพียงปีเศษๆ เท่านั้น แต่สถานการณ์ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตอนนี้เริ่มสั่นคลอน หัวของสมาคมที่เป็นเพื่อนรักกันมานานต้องแตกหักกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม หรือแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะดูเบาบางลง แต่แก้วที่มันร้าวหรือแตกก็คงไม่มีทางกลับมาสมานเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน

ถ้าเป็นไปตามคำของ พล.ต.ท.พิสัณห์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเราจะได้เห็นชื่อของเจ้าตัวลงเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะท้าชิงตำแหน่ง เพียงแต่ว่า พล.ต.ท.พิสัณห์จะมาในรูปแบบใด จะไปจับขั้วกับใคร

ซึ่งมันก็มีทางเป็นไปได้ที่บิ๊กเจี๊ยบอาจจะกลับไปคืนดีกับทางด้านของนายวรวีร์เพื่อจะกลายเป็นผู้ท้าชิงตัวจริง เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมา พล.ต.ท.พิสัณห์เองก็ทำงานร่วมกับบังยีมาก่อนเช่นกัน

ถ้ากลับไปก็อาจจะเป็นการจับมือที่ลงตัวก็เป็นได้

ส่วนตัวของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตอนนี้ก็ต้องหาบุคคลที่จะมานั่งตำแหน่งเลขาธิการ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากๆ เพราะเป็นผู้ที่จะรู้เรื่องราวทุกอย่างในสมาคมเป็นอย่างดี

ตอนนี้ชื่อที่โผล่ออกมาก็มีทั้ง “พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ” ที่ตอนนี้เป็นรองประธานกรรมการผู้ตัดสินของสมาคม ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งเพื่อนรักของ พล.ต.อ.สมยศ และมาจากรั้วสามพรานเหมือนกัน

ถือได้ว่าเป็นตัวเต็งเบอร์ 1 เลยก็ว่าได้

ส่วนเบอร์รองลงมาก็คงเป็น “บิ๊กกร๊อง” “นายวิรัช ชาญพานิช” ที่ตอนนี้นั่งเป็นที่ปรึกษาสมาคมอยู่ ก็อาจจะเป็นคนที่ถูกดันให้มากุมอำนาจเบ็ดเสร็จก็ได้เช่นกัน

ไม่ว่าใครจะเข้ามานั่ง เชื่อว่าระยะเวลา 1 ปีกว่าๆ ก่อนจะถึงการเลือกตั้งนั้น วงการฟุตบอลจะมีอะไรสนุกๆ ให้ลุ้นกันอีกมากแน่นอน

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าติดตามยิ่งนักว่าจะออกมาในรูปแบบใด