“อันธพาล” หรือ “พิทักษ์สิทธิ์” คำถามที่ “เซเรน่า” มอบให้โลกเทนนิส

เทนนิสแกรนด์สแลม “ยูเอส โอเพ่น” ปีนี้เกิดดราม่าหลายตลบในรอบชิงชนะเลิศหญิงเดี่ยว ระหว่าง “เซเรน่า วิลเลียมส์” นักหวดอเมริกันแม่ลูกอ่อน ที่ถูกยกให้เป็นนักหวดสาวที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก กับ “นาโอมิ โอซากะ” สาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-เฮติ วัย 20 ปี

เกมนี้เกิดการพลิกล็อกขึ้น เมื่อนาโอมิเอาชนะเซเรน่าไปได้ 2 เซ็ตรวด 6-2, 6-4

แต่ในชัยชนะของนักหวดดาวรุ่งมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ทั้งระหว่างแข่งและหลังแข่ง

เซ็ตสอง “แพทริก มูราโตกลู” โค้ชของเซเรน่าส่งสัญญาณเหมือนจะเป็นการให้คำแนะนำนักเทนนิสในการดูแล ทำให้โดน “คาร์ลอส รามอส” แชร์อัมไพร์ชาวโปรตุเกสเตือน เพราะถือเป็นการทำผิดกฎ

นี่เป็นการราดน้ำมันลงบนฟืน ก่อนที่ไฟจะถูกจุดตามลงไป เพราะเซเรน่าไม่พอใจกับการเล่นของตัวเอง และฟาดแร็กเก็ตกับพื้น จนโดนรามอสปรับ 1 แต้ม ในเกมเสิร์ฟต่อไปของตัวเอง

แชมป์แกรนด์สแลม 23 สมัย เดินไปต่อว่าอัมไพร์หลังจากนั้นว่าเป็นเหมือนโจรที่ขโมยคะแนนของเธอไป และทำลายภาพลักษณ์ที่ทำให้ดูเหมือนว่าเซเรน่ามีเจตนาโกงการแข่งขัน

คำพูดนี้ทำให้รามอสปรับเซเรน่า 1 เกม จนตามหลังนาโอมิ 3-5 และแพ้ไปในที่สุด

 

เซเรน่าบอกว่า เธอทำสิ่งเหล่านี้ออกไปเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมของนักเทนนิสชายและหญิง เพราะถ้าเป็นนักหวดชายอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแบบนี้ กรรมการก็คงไม่ได้สนใจอะไร และปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป

ฝ่ายจัดการแข่งขันยูเอส โอเพ่น สั่งปรับเงินนักหวดอเมริกัน 17,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 544,000 บาท แบ่งเป็นการใช้คำพูดไม่สุภาพ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เรียกโค้ชระหว่างแมตช์ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ และขว้างแร็กเก็ตอีก 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ

สิ่งที่เกิดขึ้นมีคอมเมนต์ตามมามากมายจากนักเทนนิสอาชีพระดับตำนานในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศของนักเทนนิส

“มาร์ติน่า นาฟราติโลว่า” แชมป์ 19 แกรนด์สแลม บอกว่า มันไม่ใช่ไอเดียที่ดีเลย ที่คิดว่านักเทนนิสชายทำอะไรได้ นักเทนนิสผู้หญิงจะทำมันได้ด้วย เพราะสิ่งที่เราควรทำมากที่สุดคือ ทำอย่างไรที่จะช่วยรักษาเกียรติยศของกีฬาที่เรารัก และให้เกียรติคู่แข่งในสนาม

“แมรี่ คาริลโล่” อดีตนักเทนนิสอาชีพชาวอเมริกันซึ่งปัจจุบันเป็นพิธีกรรายการกีฬา แสดงความเห็นว่า บ่อยครั้งที่เซเรน่ามักจะทำตัวเป็นอันธพาล และแมตช์นี้ความกดดันถาโถมเข้ามาที่เซเรน่า เนื่องจากอยากจะเป็นแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 24 ให้ได้ เพื่อที่จะเท่าสถิติเทียบเท่ามาร์กาเร็ต คอร์ต ตำนานนักเทนนิสออสเตรเลีย ทั้งๆ ที่ก็รู้กฎดีอยู่แล้วว่าอะไรที่ทำได้หรือไม่ได้ สุดท้ายเป็นเซเรน่าเองที่ทำลายบรรยากาศของเกมไปทั้งหมด

“บิลลี่ จีน คิง” อดีตนักหวดหญิงมือ 1 ของโลก ที่เคยหวดชนะผู้ชายมาแล้ว และเป็นนักเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศในกีฬา บอกว่า รามอสใช้อำนาจในการตัดสินผู้ชนะ และกระทำกับเซเรน่าต่างกับที่เขาทำในการตัดสินแมตช์ผู้ชาย รวมทั้งชื่นชมเซเรน่าที่กล้าออกมาพูดในสิ่งที่ควรพูด

แม้แต่ “โนวัก โยโควิช” แชมป์ยูเอส โอเพ่น ฝ่ายชายยังออกมาปกป้องเซเรน่า ในความคิดคล้ายๆ กับคิง ว่า รามอสไม่ควรตัดสินผลแพ้-ชนะด้วยอำนาจที่มีอยู่ในมือ

การเหยียดเพศที่รามอสถูกหยิบยื่นให้นั้น คาริลโล่ช่วยแก้ต่างให้ว่า รามอสทำหน้าที่ในการตัดสินเทนนิสระดับสูงมาเป็น 10 ปี และได้รับความเคารพจากคนในวงการเทนนิสอย่างมาก และสิ่งที่ผู้ตัดสินโปรตุเกสคนนี้ทำลงไปไม่รุนแรงเลย ถ้ามาจากความคิดของคนที่ติดตามกีฬาเทนนิสมาเป็นเวลานาน

นาฟราติโลว่าบอกอีกว่า ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าผู้ตัดสินแต่ละคนเอาเพศสภาพหรืออคติส่วนตัวมาทำหน้าที่ ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง อัมไพร์ก็ควรจะแก้ไขข้อบกพร่องนี้ ส่วนเซเรน่ารู้ดีว่าไม่ควรไปเรียกรามอสว่าโจร แต่กลับทำแบบนั้น

การถกเถียงคงไม่จบ เพราะต่างคนต่างมีมุมมองของตัวเอง แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ นาโอมิ โอซากะ ไม่น่าจะมาฉลองแกรนด์สแลมแรกในชีวิตของตัวเองด้วยสถานการณ์แบบนี้ เป็นความดีใจที่มีรอยด่างโดยแท้

เซเรน่ากล่าวชมนาโอมิว่าเล่นได้ดี และเหมาะสมกับแชมป์ในครั้งนี้ ท่ามกลางน้ำตาที่สุขปนทุกข์ของนักเทนนิสที่มีเธอเป็นไอดอล

คงไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่จะเจอกันในคอร์ตเทนนิส

ดังนั้น นาโอมิต้องแสดงให้เห็นว่า เธอมีดีพอจะชนะเซเรน่าได้ด้วยฝีมือ

ไม่ใช่การเลือกข้างของอัมไพร์อย่างที่ใครหลายคนคิด