เขย่าสนาม/ เด็กเก็บบอล/มอง 5 เต็งแชมป์ยูโร ‘ตราไก่-เบลเยียม’ ได้ลุ้น

เขย่าสนาม/เด็กเก็บบอล [email protected]

มอง 5 เต็งแชมป์ยูโร

‘ตราไก่-เบลเยียม’ ได้ลุ้น

 

หลังจากรอคอยกันมาเป็นปี ในที่สุด ศึก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ที่ต้องเลื่อนการแข่งขันออกมาเป็นปีเพราะสถานการณ์การระบาดของ โควิด-19 ก็เหลือเวลาอีกสัปดาห์เดียวจะลงฟาดแข้งกันแล้ว

ด้วยความที่การแข่งขันถูกเลื่อนออกมาเป็นปี ทำให้สถานการณ์ของหลายๆ ทีมมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

บางทีมจากนักเตะที่ฟอร์มดีๆ ก็ฟอร์มตกจนแทบหาทางกลับมาไม่เจอ

หรือบางทีมก็มีนักเตะที่บาดเจ็บจนต้องพลาดรอบสุดท้ายอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม ถ้าให้มองกันแล้วคงมีอยู่ไม่กี่ทีมเท่านั้นที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมเต็งสำหรับศึก ยูโร 2020 ครั้งนี้ได้

ดังนั้น เราจะมาเจาะลึกกันดูว่าทีมเหล่านั้นเป็นทีมใดบ้าง

 

แน่นอนว่าเต็งหนึ่งสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้คือทีม “ตราไก่” ฝรั่งเศส เจ้าของแชมป์โลกทีมล่าสุด ซึ่งหนก่อนที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพนั้นพลาดแชมป์ไปแบบน่าเสียดาย เพราะแพ้โปรตุเกสในรอบชิงชนะเลิศ

อย่างไรก็ตาม กำลังหลักของพวกเขาในชุดแชมป์นั้นยังคงอยู่กันแบบครบถ้วน ทั้งแนวรับอย่าง ฮูโก้ โยริส นายทวารกัปตันทีม, ราฟาเอล วาราน เซ็นเตอร์แบ๊กตัวเก่ง, ลูกาส์ แอร์นองเดซ แบ๊กซ้าย ขณะที่แดนกลางก็ยังมีทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ ปอล ป๊อกบา

และไฮไลต์สุดๆ ของฝรั่งเศสชุดนี้ คือการได้ศูนย์หน้าฟอร์มูล่าวันอย่าง คาริม เบนเซม่า กลับมาติดทีมชาติเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

ซึ่งน่าจะเพิ่มความน่ากลัวในแนวรุกให้กับทีมตราไก่อย่างมาก

 

เต็งสองในครั้งนี้ ยกให้กับทีมของ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม เพราะนี่คือทีมที่มีขุมกำลังดีที่สุดในยุโรปทีมหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวรับที่ไว้ใจได้อย่าง ติโบต์ กูร์ตัวส์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ตองเก้น, โธมัส มูนิเยร์ หรือกองกลางที่มีจอมทัพอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และ ยูริ เทียเลมองส์ ส่วนแดนหน้าก็มี เอเด็น อาซาร์ หรือ โรเมลู ลูกากู

ซึ่งผลงานในฟุตบอลระดับเมเจอร์ของเบลเยียมดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตอนฟุตบอลโลกเองก็เข้าถึงรอบตัดเชือก ก่อนจะพ่ายให้ทีมแชมป์อย่างฝรั่งเศสมา ดังนั้น คราวนี้พวกเขาถือว่าอยู่ในจุดที่ดีมากๆ เนื่องจากในรอบแรกเองก็เจอคู่แข่งที่ไม่หนักมาก

ทำให้มีลุ้นที่จะไปให้ไกลกว่าเดิม

 

ทีมเต็งในลำดับต่อมา ขอยกให้กับ “อัซซูรี่” อิตาลี ทีมที่ห่างหายจากความสำเร็จในฟุตบอลระดับทัวร์นาเมนต์ไปนานหลายปี นับตั้งแต่ได้แชมป์โลกเมื่อปี 2006 พวกเขาก็ถดถอยลงไปเรื่อยๆ ถึงขั้นหลุดจากฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อ 3 ปีก่อนเลย

แต่ว่าหลังจากที่ได้ โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามาคุมทีมและมีการเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่เข้ามา ทำให้อิตาลีมีผลงานที่ดีขึ้นแบบทันตาเห็น พวกเขาเป็นหนึ่งใน 2 ทีมเท่านั้นที่เก็บชัยชนะในรอบคัดเลือกได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งเกมรุกและเกมรับถือว่าดีมากๆ ยิงไป 37 และเสียแค่ 4 ประตูจาก 10 นัดเท่านั้น

ฉะนั้น อิตาลียุคใหม่นี่ถือว่ามองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว

 

เต็งสี่แต่อยากให้เป็นเต็งร่วม ก็คือ “กระทิงดุ” สเปน และ โปรตุเกส คู่กันในแบบที่สเปนน่าจะมีโอกาสมากกว่าเล็กน้อย เพราะว่าอยู่ในสายที่เบากว่า

สเปนไม่ว่าจะเป็นทัวร์นาเมนต์ไหน พวกเขาก็มักจะถูกยกเป็นทีมเต็งเสมอ อีกครั้งหนนี้พวกเขาได้กุนซือหลักอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ฝ่ามรสุมเรื่องร้ายๆ กลับมาทำหน้าที่ด้วยตัวเองได้

แม้ว่าทีมชุดนี้ของเอ็นริเก้จะไม่มีดาวเตะจาก “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด มาเลยสักคนหนึ่ง แต่ก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างรุ่นใหม่และรุ่นเก่าอย่างลงตัว มีแข้งจอมเก๋าอย่าง ฆอร์ดี้ อัลบา, เซร์คิโอ บุสเกตต์ หรือ ติอาโก้ อัลคันทาร่า และก็ยังมีดาวรุ่งอย่าง ดานี่ ออลโม่, แฟร์ราน ตอร์เรส หรือ เปดรี้ จากบาร์เซโลน่า

ทำให้เป็นทีมที่น่าจับตามองมากๆ

 

ขณะที่ “ฝอยทอง” โปรตุเกส นั้นต้องบอกว่าโชคร้ายเล็กๆ ที่พวกเขาโดนจับไปอยู่ในกลุ่มสุดโหดที่มีทั้งฝรั่งเศส รวมถึง “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี แต่ปัญหาน่าจะอยู่ในรอบต่อไปมากกว่า เพราะถ้าเกิดเข้าเป็นที่ 2 หรือ 3 จะทำให้เจองานหนักในรอบต่อไป

แต่นี่คือทีมที่ยังอุดมไปด้วยนักเตะที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับสโมสรในฤดูกาลที่ผ่านมา ทั้ง เชา แคนเซโล่, รูเบน ดิอาส จากแมนฯ ซิตี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จากแมนฯ ยูไนเต็ด, ดิโอโก้ โชต้า จากลิเวอร์พูล, อังเดร ซิลวา จากแฟรงก์เฟิร์ต

ขณะเดียวกันพวกเขายังมีไพ่โจ๊กเกอร์อย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ด้วยแล้ว ฉะนั้น นี่คืออีกหนึ่งทีมที่จะไม่กลัวใครในรอบสุดท้ายอย่างแน่นอน

 

นอกเหนือจาก 5 ทีมนี้แล้วก็ยังคงมีทีมอื่นๆ ที่พอจะขึ้นมาสอดแทรกลุ้นแชมป์ได้ อย่างเช่น เยอรมนี ที่เล่นทิ้งทวนโยอาคิม เลิฟ ก่อนจะอำลาทีมไป

หรือ เนเธอร์แลนด์ ที่ถึงแม้จะไม่มีตัวสำคัญอย่าง *เฟอร์กิล ฟาน ไดก์* แต่ด้วยระบบโททัลฟุตบอลแล้ว คงมองข้ามไปไม่ได้

หรือจะเป็น “สิงโตคำราม” ทีมชาติ อังกฤษ ที่มีดาวดัง สตาร์คับคั่งเต็มทีม

เช่นเดียวกับ โครเอเชีย ที่พร้อมเป็นม้ามืดได้เสมอ

เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้แชมป์ยูโรครั้งนี้ไปครอง มารอชมกันได้ 11 มิถุนายน-11 กรกฎาคมนี้

คำตอบรออยู่ไม่ไกลแล้ว