เงาปีศาจ : “รีสตาร์ต” สมาคมยกน้ำหนัก ภารกิจกวาดล้าง “สารกระตุ้น” เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีกีฬาไทย

เรื่องราวใหญ่โตของวงการกีฬาไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาหนีไม่พ้นเรื่องที่ “มาดามบุษ” “บุษบา ยอดบางเตย” ประกาศอย่างเป็นทางการขอนำทีมคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬายกน้ำหนักไทยลาออกทั้งคณะเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่วงการกีฬายกน้ำหนักไทยโดน “สหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (ไอดับเบิลยูเอฟ)” ลงโทษแบนจนแน่ชัดแล้วว่า ในโอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน ค.ศ.2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จะไม่มีนักยกน้ำหนักไทยร่วมชิงชัย…!!!

การออกมาประกาศดังกล่าวของ” “มาดามบุษ” ด้านหนึ่งเพื่อต้องการลดความบาดหมางระหว่าง” “ไทย VS สหพันธ์ยกเหล็กโลก”

อีกด้านหนึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบโดยตรงที่ทำให้วงการกีฬาได้รับผลกระทบร้ายแรงเพราะยกน้ำหนักถือเป็นกีฬาที่สร้างชื่อเสียง สร้างเกียรติภูมิให้กับวงการกีฬาเมืองไทยในโอลิมปิกเกมส์มาอย่างตลอดนับตั้งแต่ปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์

 

รอยด่างพร้อยที่เกิดขึ้นกับวงการยกน้ำหนักไทย แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ไม่มีใครต้องการให้เดินมาจนถึงจุด” “แตกหัก” ระหว่างฝั่งผู้บริหารไทยที่นำโดยคู่ชีวิตอย่าง “เสธ.ยอด” “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย – บุษบา ยอดบางเตย” กับฝั่งของไอดับเบิลยูเอฟ นำโดย “ทามาส อาจัน” ประธานสหพันธ์ชาวฮังกาเรียน

เรื่องราวการแตกหักดังกล่าวเกิดจากความผิดพลาดในเรื่องการผลิตนักกีฬายกน้ำหนักที่คนในวงการรับรู้ เป็นความจริงที่แสนเจ็บปวดที่เราทำผิดพลาดกันมาตลอด

จนกระทั่งเมื่อปี 2018 จอมพลังทีมชาติไทยถูกสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ ตรวจสารต้องห้าม โดยตรวจทั้งปัสสาวะและเลือด เพื่อตรวจฮอร์โมน จากการแข่งขันชิงแชมป์โลก ช่วงปลายปี 2018 ที่เติร์กเมนิสถาน ด้วยวิธีตรวจแบบเข้มข้นไออาร์เอ็มเอส

ผลปรากฏว่า พบสารต้องห้ามในนักกีฬาไทยรวม 10 คน ทำให้นักกีฬาทั้งหมดถูก “องค์การต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (วาด้า)” ลงโทษเบื้องต้นห้ามแข่งขัน และเกี่ยวข้องกับกีฬายกน้ำหนัก

จากนั้นสมาคมยกเหล็กไทยแสดงสปิริตต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ด้วยการแบนตัวเองออกจากการแข่งขันทั้งหมดในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกมในหรือต่างประเทศ เพื่อขอเคลียร์และพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เจตนากระทำผิด ก่อนมาได้คำตอบจากถ้อยแถลงของสมาคม

โดยพบว่าต้นตอของการถูกตรวจพบสารกระตุ้น มาจากโค้ชชาวจีนที่ใช้เจลทารักษาอาการบาดเจ็บให้นักกีฬายกน้ำหนักไทย

 

ยกน้ำหนักเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่ถูกจับจ้องจาก “คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี)” ว่า สุ่มเสี่ยงต่อการใช้สารกระตุ้นอยู่แล้ว เพราะสถิติที่วาด้าตรวจพบนักกีฬาจากทั่วโลกใช้สารกระตุ้นในกีฬายกน้ำหนักนั้นติดเป็นท็อป 3 ของโลก

ที่ผ่านมา ไอโอซีประกาศนโยบายทำสงครามกวาดล้างสารกระตุ้นให้หมดไปจากวงการกีฬาของโลกเพื่อทำให้กีฬาเป็นกีฬาที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการเอาเปรียบของกลุ่มประเทศที่สร้างนักกีฬาด้วยการใช้สารกระตุ้น

ขนาดมหาอำนาจวงการยกเหล็กโลกอย่างประเทศจีน ยังเอาตัวไม่รอด โดนแบนไม่ให้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่บราซิลมาแล้วเลย

สาเหตุที่สหพันธ์ยกเหล็กโลกเข้มงวดกับการตรวจสารกระตุ้นนักกีฬาจากทุกชาติเพราะยกน้ำหนักเป็นกีฬาที่สุ่มเสี่ยงที่ไอโอซีจะตัดทิ้งออกจากการแข่งขัน “โอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน ค.ศ.2024” ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ดังนั้น จึงต้องทำการปัดกวาดให้เรียบร้อย

 

จากผลพวงที่นักกีฬาไทยถูกตรวจพบว่า ใช้สารกระตุ้นแบบมโหฬาร 10 คน เมื่อปลายปี 2018 ส่งผลมายังการแข่งขันศึกยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก 2019 ที่ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นรายการคัดเลือกโควต้าไปโอลิมปิกเกมส์ 2020

ลองคิดดูเอาแล้วกัน เราอุตส่าห์บิดเจ้าภาพรายการนี้มาได้เมื่อหลายปีก่อน เพื่อหวังว่าจะอาศัยความได้เปรียบแข่งในบ้านคว้าโควต้าโอลิมปิกเกมส์ 2020 ให้ได้มากที่สุด

แต่เราโดนลงโทษจากสหพันธ์ไม่ให้ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน นั่นหมายความว่า เราจะไม่มีนักกีฬาไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 โดยปริยาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นมหาศาลยิ่งนัก

เพราะนั่นคือการลงทุนที่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์กับงบประมาณที่ใช้ในการจัดแข่งขัน

 

อีกประเด็นที่เราพลาดอย่างแรง ว่ากันว่า “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” ที่ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมกีฬายกน้ำหนักไทยและยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักโลก คนที่ 1 อยู่ด้วยนั้น ดันไปงัดข้อร่วมลงชื่อในเอกสารเกี่ยวกับแล็บตรวจโด๊ปของประเทศหนึ่ง ทำให้ประธานชาวฮังกาเรียนไม่พอใจอย่างมาก

นั่นทำให้กลายเป็น” “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่ทำให้” “ทามาส อาจัน VS พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” ถึงขั้นแตกหักกันอย่างรุนแรง…!!!

หลังจบศึกชิงชนะเลิศแห่งโลก 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ คนวงการกีฬารู้กันดีว่า เป็นเรื่องยากมากแล้วที่เราจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหพันธ์โลกในยุคของ “ทามาส อาจัน” แทบเป็นไปไม่ได้

แต่ทาง “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” กับ “บุษบา ยอดบางเตย” 2 ผู้บริหารวงการยกเหล็กไทย พยายามอย่างเต็มความสามารถ พยายามชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับทามาส อาจัน

แต่สุดท้ายไม่เป็นผล จนไม่สามารถต้านทานกระแสได้อีกต่อไป จึงเป็นที่มาของการประกาศนำทีมงานยกเหล็กไทยลาออกจาก “สมาคมกีฬายกน้ำหนักแห่งประเทศไทย”

 

ต้องจับตาดูกันต่อว่า หลังจากนี้กระบวนการขั้นตอนการฟอร์มทีมงานบริหารสมาคมชุดใหม่จะออกมาในรูปโฉมแบบใด ซึ่ง “การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)” จะต้องทำหนังสือขอรับการยืนยันเรื่องการลาออกไปยังสมาคม

แต่แน่นอนว่าในทางกฎหมายยังต้องทำหน้าที่” “รักษาการ” ต่อไปก่อน พร้อมกับร่วมกับ กกท.จัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้ง” “นายกสมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ” และคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ เข้ามาทำหน้าที่

จุดนี้แหละที่น่าสนใจ ที่ผ่านมาในช่วง 10 กว่าปีหลัง เก้าอี้นายกสมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ จะเป็นการสลับกันระหว่าง 2 สามีภรรยา “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” กับ “บุษบา ยอดบางเตย”

ถ้าสถานการณ์แบบนี้ หากสลับให้ “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” มานั่งเก้าอี้นายกสมาคม คงไม่ช่วยให้สถานการณ์ร้าวฉานระหว่าง” “ไทย VS สหพันธ์โลก” ดีขึ้นมา รังแต่จะลุกลามบานปลายกว่าเดิม

ทางออกเดียวคือ” “รีสตาร์ต” วงการยกน้ำหนักไทยกันใหม่ ล้างไพ่กันใหม่ เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ที่สำคัญต้องเลิกเรื่องของการไปเกี่ยวข้องกับสารกระตุ้นกันอย่างจริงๆ จังๆ เสียที

ทำไมเราไม่ใช้ระบบวิทยาศาสตร์การกีฬามาสร้าง มาผลิตนักกีฬาเพื่อสปิริต สู้กันด้วยความสามารถที่แท้จริง

แล้วเหรียญรางวัลที่บรรดานักกีฬาได้มาจะยิ่งน่าภาคภูมิใจอีกหลายเท่าตัว

 

เมื่อเราได้คณะกรรมการบริหารชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่บริหารสมาคมแล้ว ประการแรกที่เราต้องเร่งลงมือทำคือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหพันธ์ยกน้ำหนักโลก ขอคำแนะนำในเรื่องของการสร้างนักกีฬา จากนั้นเราต้องมา” “ปฏิรูป” คิดใหม่ทำใหม่วางแผนการสร้างนักกีฬาให้ทันในอีก 4 ปีเพื่อเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน ค.ศ.2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ประการสำคัญ เราต้องมีศูนย์ฝึกซ้อมยกน้ำหนักไทยอยู่ใน” “สถานที่เปิด” ไม่เอาไว้ในค่ายทหารอีกต่อไปแล้ว เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจในเรื่องสารต้องห้าม

พร้อมให้วาด้าจู่โจมตรวจได้ 24 ชั่วโมงตามกฎที่เขากำหนด และต้องประกาศให้สหพันธ์โลก รวมถึงวาด้า ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดี

หากทำได้แบบนี้วงการยกน้ำหนักไทยจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับมาได้อย่างรวดเร็วที่สุด

หากยังยึดติดและทำในแบบเดิมๆ เดี๋ยวก็ไม่ผ่านการตรวจสารต้องห้ามอีกเหมือนเดิม

ไม่เชื่อคอยดู…ไม่เชื่อคอยดู…