SearchSri : “The Humble One” บทบาทใหม่ของ “มูรินโญ่”

ช่วงที่วงการลูกหนังยุโรปพักเบรกสัปดาห์ทีมชาติก่อนหน้านี้ เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับ *ท็อตแนม ฮอตสเปอร์* เมื่อผู้บริหารตัดสินใจปลด *เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่* ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังผลงานย่ำแย่ร่วงไปอยู่อันดับ 14 ของตาราง ก่อนจะตั้ง *โชเซ่ มูรินโญ่* กุนซือมากประสบการณ์เป็นโค้ชคนใหม่

การมาของมูรินโญ่ได้รับฟีดแบ็กค่อนข้างหลากหลาย หลายคนยังตั้งหลักรับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน และบางคนถึงขั้นต่อต้านด้วยซ้ำ

เนื่องด้วยมูรินโญ่เคยเป็นโค้ชของทีมคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนอย่าง *เชลซี* แถมยังเป็นอดีตกุนซือ *แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด* ทีมแย่งแชมป์ในกลุ่ม “บิ๊ก 6” ด้วยกัน

เหนือสิ่งอื่นใดคือบุคลิกและแคแร็กเตอร์ของตัวกุนซือชาวโปรตุกีสเองที่อาจจะทำให้หลายคนหมั่นไส้ไม่น้อย

ตั้งแต่สมัยแรกรับงานคุมสิงห์บลูส์ซึ่งบทสัมภาษณ์ของเขานำมาซึ่งฉายา* “เดอะ สเปเชียล วัน“* หรือ “คนพิเศษ” หลังจากเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน

ในแง่ฝีมือ ไม่มีใครสงสัยในตัวมูรินโญ่ เขาเป็นหนึ่งในโค้ชที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวงการลูกหนังยุโรป เมื่อสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดใน 4 ประเทศ และยังคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ 2 สมัย เฉพาะแค่พรีเมียร์ลีกอย่างเดียวก็พาเชลซีคว้าแชมป์มาแล้ว 3 ครั้งจากการคุมทีม 2 รอบ และการคุมปีศาจแดงฤดูกาลแรกก็พาทีมคว้า 2 แชมป์จากลีกคัพและยูโรป้าลีกอีกด้วย

แต่ด้วยความเป็นคนอารมณ์ร้อน ปากไว บ่อยครั้งที่คนตีความคำพูดของเขาเป็นเชิงยโส อวดดี ยกตนข่มท่าน จึงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของแฟนบอลทีมอื่นนัก แม้แต่สเปอร์สเองก็เคยโดนพาดพิงสมัยก่อนนู้นว่าเป็นทีมที่เขาไม่คิดจะไปคุมแน่นอน

นอกจากนี้ ถึงผลงานโดยภาพรวมจะดูดี แต่ต้องไม่ลืมว่าฤดูกาลสุดท้ายในการคุมแต่ละทีมของมูรินโญ่ ส่วนใหญ่มักจะจบไม่สวย โดยมากมักจะมีปัญหาความเห็นไม่ลงรอยกับลูกทีม จนสุดท้ายผลงานก็เริ่มดิ่งลงจนเขาต้องเป็นฝ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นกับรีล มาดริด, เชลซี (รอบสอง) หรือแมนฯ ยูก็ตาม

ยิ่งช่วงคัมแบ๊กสู่พรีเมียร์ลีกรอบหลัง มูรินโญ่โดนวิจารณ์ว่าวิธีคิดค่อนข้างจะโบราณเกินไป ตามวิถีของฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นการบุก ให้บอลเคลื่อนที่เร็วไม่ทัน และคนก็มักติดภาพแผน “จอดรถบัส” เน้นผลการแข่งขันที่น่าเบื่อหน่ายของเขาไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม การประเดิมสนามคุมทีมสเปอร์ส 2 นัดแรกของมูรินโญ่ ถึงจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็ยังเก็บชัยชนะได้ทั้ง 2 นัด โดยเฉพาะเกมแชมเปี้ยนส์ลีกที่โดน *โอลิมเปียกอส* นำ 2 ลูกตั้งแต่กลางครึ่งแรก สุดท้ายพลิกสถานการณ์กลับมาชนะ 4-2 พร้อมตีตั๋วเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ

ภาพของมูรินโญ่ที่ข้างสนามทั้ง 2 นัด ไม่เหลือคราบของ “เดอะ สเปเชียล วัน” ที่ดูขี้เก๊ก ขี้โมโห หรือเย่อหยิ่ง เป็น “เดอะ ฮัมเบิล วัน” (The Humble One) ที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสและถ่อมตน

ช่วงที่ลูกทีมพลาดพลั้งหรือตกเป็นรอง มูรินโญ่ไม่ได้แสดงท่าทีฉุนเฉียวหรือหงุดหงิด แต่พยายามส่งสัญญาณบอกลูกทีมให้ใจเย็นลง ซ้ำยังแสดงให้เห็นถึง “กึ๋น” ที่ยังไม่ขึ้นสนิม อย่างการเปลี่ยนตัว *คริสเตียน อีริกเซ่น* ลงแทน *เอริก ดายเออร์* ตั้งแต่ตามโอลิมเปียกอส 2 ประตู แถมยังมาให้สัมภาษณ์ขอโทษดายเออร์ผ่านสื่อหลังเกมว่า การเปลี่ยนตัวครั้งนี้เป็นเรื่องการปรับแท็กติก ไม่เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นแต่อย่างใด

ภาพของมูรินโญ่เวลานี้จึงย้อนให้หลายคนนึกถึงกุนซือหนุ่มไฟแรง เต็มไปด้วยแพสชั่น สมัยเข้าไปคุมเชลซีครั้งแรก เป็นโค้ชที่ได้ใจและเป็นที่รักและศรัทธาของลูกทีมในยุคนั้น

 

อันที่จริงผลงานแรกของกุนซือชาวโปรตุกีสในการรับงานคุมสเปอร์สอาจจะไม่ใช่การพาทีมเก็บชัย 2 นัดแรกด้วยซ้ำ แต่เป็นการกระตุ้น *เดเล่ อัลลี่* แนวรุกตัวเก่งของทีมที่ฟอร์มตกไปตั้งแต่ปลายฤดูกาลที่แล้วให้กลับมามีชีวิตชีวา

ตอนเจอหน้ากันครั้งแรกที่สนามซ้อม มูถามอัลลี่ว่า “นี่เดเล่หรือน้องชายของเขา?” เพื่อบอกอ้อมๆ ให้อัลลี่ดึงฟอร์มที่เคยสุดยอดกลับมา พิสูจน์ให้เขาได้เห็น ซึ่งแข้งวัย 23 ปี ก็เริ่มทำได้ตามนั้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามของกุนซือชาวโปรตุกีส แต่กูรูลูกหนังเมืองผู้ดีจำนวนหนึ่งก็ทักว่า อย่าลืมว่าฤดูกาลแรกของมูรินโญ่มักจะไปได้สวยและมีแชมป์ติดมือเสมอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะประสบความสำเร็จกับสเปอร์สเช่นกัน

แต่หลังจากนั้นต้องมารอดูกันว่า เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2-3 ความมุ่งมั่น ตั้งใจและความสัมพันธ์กับลูกทีมและผู้บริหารจะยังคงเดิมหรือไม่

 

ในจุดนี้มีคนทักไว้อย่างน่าสนใจว่า สถานการณ์ของ “เดอะ ฮัมเบิล วัน” ในเวลานี้ต่างจากหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเขาว่างงานนานถึง 11 เดือน และเคยน้ำตารื้นตอนยอมรับกับสื่อว่า “ผมคิดถึงฟุตบอล

ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างตอนที่เขาจากมาครั้งล่าสุดนั้น อาจเป็นแรงผลักดันให้มูรินโญ่ตั้งใจกับการ “คัมแบ๊ก” ครั้งนี้มากเป็นพิเศษ

ทั้งเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ใช่ “กุนซือตกรุ่น” และอาจจะเพื่อ “ล้างแค้น” คนที่เคยสบประมาทเขาเอาไว้ก็เป็นได้!