จริงตนาการ : หรือ “เอ็ด วู้ดเวิร์ด” จะเป็น “แพะรับบาป” ในคราบ “คนหิวเงิน”

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” หลังหมดยุคของ “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละทีม

จากทีมที่เคยยิ่งใหญ่ กลายมาเป็นทีมที่พร้อมจะแพ้ทุกทีม

ต้องดิ้นรนเพื่อให้จบท็อป 4 ของตาราง ทั้งๆ ที่เคยเป็นทีมลุ้นแชมป์มาโดยตลอด

การเปลี่ยนแปลงในทีมปีศาจแดง ไม่ใช่การโบกมือลาของเฟอร์กี้เท่านั้น แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงบอร์ดบริหารอีกด้วย

โดยเฉพาะการเปลี่ยนรองประธานฝ่ายบริหารของสโมสรจาก “เดวิด กิลล์” มาเป็น “เอ็ด วู้ดเวิร์ด” กิลล์มาทำงานกับแมนฯ ยูตั้งแต่ปี 1997 และอยู่กับสโมสรจนถึงปี 2013 รวมแล้ว 16 ปี ทำให้การทำงานร่วมกับเฟอร์กี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากมีเวลาร่วมงานกันนาน ถึงแม้ว่าตระกูลเกลเซอร์จะเข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรในปี 2005 แต่ความสำเร็จก็ยังคงอยู่กับทีม

กิลล์และเฟอร์กี้ยุติบทบาทที่เคยทำในสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมๆ กันในปี 2013 “เดวิด มอยส์” มารับหน้าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ ส่วนวู้ดเวิร์ดมาเป็นซีอีโอแทนกิลล์

 

แมนฯ ยูที่มีวู้ดเวิร์ดเข้ามาดูแล มีรายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสโมสรรวยที่สุดในโลกมาหลายปี สปอนเซอร์เข้ามาอย่างถล่มทลาย แต่สวนทางกับผลงาน ที่ไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเลยตลอด 6 ฤดูกาล

แม้แต่การจะได้โควต้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยังต้องลุ้นกันเลือดตาแทบกระเด็น

แต่สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เขาโดนแฟนบอลเกลียดชังที่สุด คือ การไม่สามารถเดินหน้าเจรจาซื้อนักเตะมาร่วมทีมได้ ทั้งๆ ที่เงินในคลังมีมากมาย และชื่อชั้นของสโมสรก็ดึงดูดแข้งเวิลด์คลาสได้อยู่แล้ว

หลังจากโดนแฟนปีศาจแดงวิจารณ์ ประท้วง และไล่ออกมาตลอด เอ็ด วู้ดเวิร์ด ได้ออกมาเปิดใจเกี่ยวกับเบื้องหลังการซื้อขายนักเตะเอาไว้แบบชัดเจน

“การหานักเตะมาเสริมทีมเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องฟุตบอล ผู้จัดการทีมจะเป็นคนตัดสินใจต้องการนักเตะคนไหน ถ้าเห็นว่านักเตะที่ทีมผู้เชี่ยวชาญแนะนำมาไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เขาสามารถคัดค้านได้ เราไม่เคยคว้าตัวนักเตะที่ผู้จัดการทีมไม่ต้องการมาร่วมทีม เพราะเขาจะไม่ส่งนักเตะคนนั้นลงเล่นแน่นอน หรือถ้าผู้จัดการทีมไม่คัดค้าน ผู้เชี่ยวชาญก็มีสิทธิค้านเหมือนกัน และหน้าที่ของผมก็แค่เซ็นลงในเอกสารเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการเลือกนักเตะอย่างที่ใครๆ คิดเลย มันมีการบอกกันไปว่าผมไปดูคลิปนักเตะในยูทูบแล้วก็ติดต่อขอซื้อเลย ผมบอกเลยว่าผมไม่ได้มีความสามารถเรื่องการพิจารณาฝีเท้าของนักเตะ และผมไม่สนใจอะไรพวกนี้เลย”

วู้ดเวิร์ดบอกอีกว่า หน้าที่ที่เขาต้องพิจารณา คือ การรักษาระเบียบของสโมสรที่จะต้องใช้เงินอย่างคุ้มค่ากับนักเตะที่ใช่สำหรับทีมเท่านั้น

โดยเฉพาะถ้าต้องทุ่มเงินมหาศาลก็จะต้องมั่นใจแล้วว่านักเตะคนนั้นเหมาะสมกับแมนฯ ยูจริงๆ

โดยจะเริ่มติดต่อสโมสรและนักเตะที่ผู้จัดการทีมอยากได้มากที่สุดเป็นคนแรก ถ้าไม่สามารถปิดดีลได้ ก็จะเดินหน้าสู่เป้าหมายคนที่ 2 และ 3 ต่อไป

ส่วนงานของแมวมองในการตามดูฟอร์มของนักเตะนั้น ในตอนนี้ระบบการค้นหานักเตะอาจจะยังไม่อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องนัก เพราะแมวมอง 12 คน จะออกไปค้นหานักเตะดีๆ แล้วรายงานมาที่หัวหน้าแมวมอง ซึ่งในขั้นตอนต่างๆ จะต้องมีการแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

หรือให้พูดกันตรงๆ ก็คือ มันยังไม่ได้เรื่องนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่าแมวมองคนไหนเป็นคนที่เจ๋งที่สุดในกลุ่ม

“การหานักเตะมาเสริมทีม ส่วนใหญ่จะเป็นการรับฟังกันภายในสโมสร ไม่ได้เอาข้อมูลจากการที่สื่อมวลชนนำเสนอมาพิจารณา รวมทั้งไม่ได้สนใจเอเย่นต์นักเตะที่พยายามจะปล่อยข่าวออกมา สิ่งสำคัญที่สุดคือเราพิจารณานักเตะจากข้อมูลที่มี เมื่อทำกันแบบนี้แล้ว เชื่อว่าในตลาดนักเตะรอบต่อๆ ไป แมนฯ ยูจะได้นักเตะในระดับที่ทีมต้องการจริงๆ”

 

สําหรับตลาดรอบใหม่นั้น “โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์” ผู้จัดการทีมปีศาจแดงคนปัจจุบันได้นั่งหารือกับทีมงานเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องการนักเตะแบบไหน และคนไหนบ้างที่ตรงตามความต้องการของเขา ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางและเบื้องหลังบางส่วนที่วู้ดเวิร์ดพยายามจะสื่อสารให้แฟนบอลให้รับรู้ หลังจากโดนจวกมาตลอดว่า เก่งแต่เรื่องการหาเงิน แต่พอถึงเวลาจะต้องใช้เงินกลับไม่มีน้ำยา

มันอาจจะเหมือนเป็นการออกมาแก้ตัว แต่ในช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านี้ เอ็ดไม่เคยออกมาตอบคำถามอะไรแบบนี้ แค่นั่งรับคำวิจารณ์และทำงานในหน้าที่ของตัวเองไป แต่ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่า กระแสแฟนบอลที่ต่อต้านการทำงานของเขา และด่าทอพี่น้องตระกูลเกลเซอร์ว่าหิวเงินนั้น ไม่สามารถนิ่งเฉยแล้วเอาแต่ทำธุรกิจได้ต่อไปอีกแล้ว เสียงเรียกร้องของแฟนบอลเริ่มเห็นผลมากขึ้นแล้ว ที่เหลือก็แค่ให้เวลาตอบคำถามว่า แมนฯ ยูในยุคที่โซลชาร์จับมือกับวู้ดเวิร์ด จะไปได้ดีกว่านี้หรือกอดคอดิ่งลงเหวกันแน่

รอกันอีกสักพักนะแฟนปีศาจแดง