เงาปีศาจ : “นิชิโนะ” กับ “ช้างศึก” ยุคใหม่ “ฟอลส์ ไนน์” ถูกทางหรือไม่ คำถามที่ยังคงรอการพิสูจน์

“อากิระ นิชิโนะ” อดีตกุนซือทีมชาติไทย ประเดิมคุมสนามนัดแรกอย่างเป็นทางการให้กับทีมฟุตบอล” “ช้างศึก” ชุดใหญ่ ไปเรียบร้อยแล้ว ในเกมคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย กลุ่มจี ที่เมนสเตเดี้ยม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

ผลเราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า” “ช้างศึก” ยุคใหม่ เปิดบ้านเสมอกับ “ดาวทอง” “เวียดนาม” ไป 0-0 เป็นการเก็บแต้มแรกให้ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ “อากิระ นิชิโนะ”

โอเคว่า 1 แต้มสำหรับเกมนัดเปิดสนามคัดเลือกฟุตบอลโลก ถือว่าไม่เสียหาย แต่มันก็ยังไม่ดีที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น

ในมุมมองของแฟนบอล” “ช้างศึก” นั้น นัดแรกมันควรจะ 3 แต้ม แต่ได้มา 1 แต้มก็ไม่ได้ขี้เหร่ ขึ้นอยู่กับว่านัดที่สอง ที่จะบุกไปเยือนทีมอินโดนีเซีย ที่กรุงจาการ์ตานั้น ไทยจะบุกไปเก็บ 3 แต้มมาได้หรือไม่ หรืออย่างน้อยๆ ต้องเสมอ ห้ามแพ้เด็ดขาด

หากนัดที่สอง เราบุกไปชนะอินโดนีเซีย จะทำให้เรามี 4 แต้ม สถานการณ์ถือว่าดี แต่ถ้าเราบุกไปเสมออินโดนีเซีย ไทยเราจะมี 2 แต้ม สถานการณ์เริ่มตึงเครียด

แต่หากเราบุกไปแพ้อินโดนีเซีย เราจะกลับบ้านมือเปล่า ลงสนาม 2 นัด มี 1 แต้ม รับประกันว่า กระแสจะถูกถาโถมเข้าใส่ทีมชาติไทยอีกระลอกแน่ๆ

 

ย้อนมาดูเกมนัดแรกของไทย ที่เสมอเวียดนาม 0-0 เป็นเกมที่เราได้เห็นพัฒนาการของแข้งช้างศึกขึ้นมาอีกระดับจากศึกเอเชี่ยนคัพ และหลายๆ ปีที่ผ่านมา รูปแบบการเล่นของทีมชาติไทยในยุคนิชิโนะ มีสไตล์การเล่นที่ต่างจากอดีต

“นิชิโนะ” เลือกนักเตะมาเองกับมือ ทุกคนล้วนแต่เป็นระดับพระกาฬที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในศึก” “ไทยลีก” ให้กับสโมสรต่างๆ ผสมรวมทีมกับ 4 จตุรเทพที่ไปค้าแข้งอยู่ต่างแดน ประกอบด้วย “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” (คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่), “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน” (โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส), “นิว” “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” (โออิตะ ทรินิตะ) และ “ตอง” “กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์” (โอเอช ลูเวิ่น)

“นิชิโนะ” เองทราบดีว่า การมาของเขาต้องแบกความหวังของคนไทยไว้ค่อนข้างสูง แฟนบอลไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เบื่อกับโค้ชสไตล์ยุโรป แฟนบอลไทยตื่นเต้นกับโค้ชชาวญี่ปุ่น ยิ่งมีดีกรีระดับ “นิชิโนะ” ที่เคยพาทีมชาติญี่ปุ่นลุยเวิลด์คัพฉบับแดนหมีขาวมาด้วยแล้ว ยิ่งได้รับการตอบรับและต้อนรับเป็นอย่างดีจากแฟนลูกหนังไทย

ช่วงเก็บตัวก่อนโม่แข้งกับเวียดนาม นิชิโนะอุบไต๋ทุกวิถีทางถึงแผนการเล่น แต่เมื่อดูจากรายชื่อที่นิชิโนะเรียกติดทีมมานั้น คงเดากันไม่ยาก นิชิโนะเลือก “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด กองหน้าอาชีพติดทีมมาคนเดียวแล้วใส่แดนกลางมาล้นทีม กองหลังมาล้นทีม ประตูมาล้นทีม…

 

นัดบู๊เวียดนาม นิชิโนะสร้างเซอร์ไพรส์เพราะจัด 11 คนแรกแบบไม่มีกองหน้าอาชีพ ดร็อป “ศุภชัย ใจเด็ด” ไว้ข้างสนาม แต่เกมของไทยก็ทำได้ดี แม้จะมีข้อผิดพลาดในแนวรับให้เห็นอยู่บ้าง แต่การครองบอล ความกระหายของนักฟุตบอลไทยมันส่งผลให้เกมของ” “ช้างศึก” ดูดีระดับหนึ่ง แต่ยังดีไม่พอ ดีไม่สุด ทำให้ไม่สามารถเก็บชัยชนะ

ภาษาฟุตบอลเขาเรียกยุทธวิถีการเล่นแบบไม่มีกองหน้าว่า “False 9 (ฟอลส์ ไนน์)” คือเล่นแบบไม่มีกองหน้า ใช้กองกลางเป็นตัวขับเคลื่อนเกมไปยันพังประตู

ครั้งแรกที่มีการใช้ฟอลส์ ไนน์ ต้องย้อนไปในทศวรรษ 1930 “มัตเธียส ซินเดลาร์” กองหน้าทีมชาติออสเตรีย เป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์เอาไว้ และถูกตั้งฉายา” “โมซาร์ตแห่งโลกลูกหนัง”

ซินเดลาร์เป็นนักเตะที่ไม่ได้ตัวใหญ่โตตามสไตล์กองหน้าตัวเป้ายุคนั้น แต่มีจุดเด่นตรงที่เลี้ยงบอลได้ดี และมีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์เกม จึงถูกดันลงไปเชื่อมเกมในแดนกลางมากกว่าจะยืนค้ำในแดนหน้า เขาลงเล่นในตำแหน่งนี้ในฟุตบอลโลก 2 สมัย ปี 1934 และ 1938 โดยในปี 1934 แผลงฤทธิ์ยิงคนเดียว 3 ประตู ช่วยให้ออสเตรียคว้าอันดับ 4 มาครองได้

คนต่อมาคือ “นันดอร์ ไฮเดกกูติ” ตำนานกองหน้าฮังการี ในยุคเดียวกับ “เฟเรนซ์ ปุสกัส, ซานดอร์ คอสซิส” สองตำนานดาวยิงของทีมฮังการี ในยุคนั้นไฮเดกกูติสวมเบอร์ 9 ลงสนาม ในทีมชาติฮังการีที่ถูกเรียกว่า” “โกลเด้นทีม” เพราะมีนักเตะชั้นยอดเต็มไปหมด ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องถูกประกบด้วยเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แต่ไฮเดกกูติกลับมีหน้าที่วิ่งพล่านในแดนของคู่แข่ง และเปิดช่องให้คอสซิสและปุสกัสเข้าไปกดประตูเป็นว่าเล่น

โกลเด้นทีมของฮังการีในทศวรรษ 50 คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 1950 และเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก 1952 ได้อย่างยิ่งใหญ่

หลังจากนั้นฟอลส์ ไนน์ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายๆ ทีมของยุโรป

ในยุค 1960-1980 มีนักเตะที่เป็นกองหน้าตัวหลอกชั้นยอดมากมาย ทั้ง “อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่” กองหน้ารีล มาดริด, “โยฮันน์ ครัฟฟ์” นักเตะเทวดาที่เรียกได้ว่าเป็นฟอลส์ ไนน์ ที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง เป็นฟอลส์ ไนน์ที่อันตรายทั้งการสร้างสรรค์เกมและการยิงประตูให้ทั้งกับอายแอกซ์, บาร์เซโลน่า รวมทั้งเนเธอร์แลนด์

“ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ” อดีตกัปตันทีมโรม่า สานต่อตำแหน่งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม “ลิโอเนล เมสซี่” ก็ยังคงเป็นฟอลส์ ไนน์ที่บาร์ซ่าขาดไม่ได้ หรือแม้แต่ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” ในวันที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นฟอลส์ ไนน์มาระยะหนึ่ง ก่อนพัฒนาตัวเองมาเป็นยอดกองหน้าจอมถล่มประตูแบบทุกวันนี้

รวมทั้ง โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ก็เป็นวาทยากรในสนามให้กับลิเวอร์พูลและประสบความสำเร็จอย่างมากในหลายฤดูกาลหลัง

 

ตัวของ “อากิระ นิชิโนะ” เคยใช้ฟอลส์ ไนน์กับทีมชาติญี่ปุ่น ในฟุตบอลโลก 2018 มาแล้ว และสร้างผลงานได้ดี ผ่านเข้ารอบสองแบบเกือบชนะเบลเยียมได้ด้วยซ้ำ เพราะมีทั้ง “ชินจิ คากาวะ, เคสึเกะ ฮอนดะ, เกงคิ ฮารากูชิ” ที่เป็นนักเตะฝีเท้าจัดจ้านกันทั้งนั้น

แต่อย่างลืมว่า” “ฟอลส์ ไนน์” ที่ประสบความสำเร็จนั้นล้วนแล้วแต่มาจากนักเตะฝีเท้าระดับโลกที่มีอยู่ในทีม มาตรฐานทีม คุณภาพผู้เล่นรายอื่นๆ ที่จะสร้างสรรค์เกม ต่อเกม เชื่อมเกม ทำชิ่ง เซนส์บอลของตัวจ่ายต้องดี

ถามกลับว่า เรามีคุณสมบัติเหล่านั้นแล้วหรือยัง…

 

ผมไม่ได้บอกว่า” “ฟอลส์ ไนน์” ไม่ดี หรือไม่เหมาะกับทีมชาติไทย ตัวของนิชิโนะเองซึ่งถือเป็นกุนซือชั้นยอดคนหนึ่งต้องรู้ดีอยู่แล้วว่า มาตรฐานนักฟุตบอลไทยจะทำได้ไหมกับระบบ” “ฟอลส์ ไนน์”

หากว่าเราเริ่มต้นลองแล้ว ทำแล้ว พิสูจน์แล้ว มันไม่ได้ผล ตัวของนิชิโนะเองก็คงโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า เลือกที่จะติดตั้งระบบการเล่นชั้นสูงเกินไปที่นักเตะไทยจะรับได้หรือไม่ นิชิโนะเองก็คงต้องปรับเปลี่ยน

แต่หากทำแล้วมันเกิดประโยชน์ ทีม” “ช้างศึก” ลงตัวกับระบบ” “ฟอลส์ ไนน์” เก็บชัยชนะได้ต่อเนื่อง “นิชิโนะ” เองต่างหากที่จะต้องได้รับเครดิตเต็มๆ กับทฤษฎีนี้

แต่แฟนบอลไทยอย่าลืมว่า” “นิชิโนะ” เพิ่งจะเริ่มต้น” “นับหนึ่ง” กับทีมฟุตบอลไทย” “นิชิโนะ” เพิ่งจะก้าวเข้ามารับงานคุมทีมชาติไทย” “นิชิโนะ” ยังต้องการเวลาพัฒนาทีมฟุตบอลไทย

เชื่อเถอะว่า หากปล่อยให้กุนซือมือฉมังอย่าง” “นิชิโนะ” ทำทีมชาติไทยแบบยาวๆ

อนาคตทีมฟุตบอลไทยจะก้าวข้ามอาเซียนไปสู่ระดับ” “ท็อป” ของทวีปเอเชียได้ไม่ยาก

แต่เรื่อง “ฟุตบอลโลก” 10-20 ปีอันใกล้นี้ ลืมมันไปเถอะ…คุณภาพนักเตะเราคลาสไม่ถึง…!!!