เด็กเก็บบอล : เจาะลึก 4 คู่แข่ง “ช้างศึก” ก้างชิ้นสำคัญในคัดบอลโลก

ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 ก็ได้ทำการจับสลากกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่ง “ช้างศึก” “ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย” ต้อนรับหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ นั่นก็คือ “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือชาวญี่ปุนที่เกือบพา “ซามูไรบลูส์” ล้มยักษ์ใหญ่อย่าง “เบลเยียม” ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ผู้ตัดสินใจออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง แล้วกล้าออกมารับงานนอกประเทศเป็นครั้งแรกเสียด้วย

โดยทีมชาติไทยถูกจับมาอยู่ในกลุ่มจี ซึ่งเป็นกลุ่มที่เจอแต่ทีมคุ้นเคยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี), คู่รักคู่แค้นอย่าง เวียดนาม หรือจะเป็นมาเลเซีย กับอินโดนีเซีย ก็ตาม

ทีนี้เราจะมาเจาะลึกกันไปทีละทีมเลยดีกว่า ว่าแต่ละทีมนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง

 

ทีมแรกคือทีมที่ถือว่าเป็นทีมที่มาจากโถ 1 และก็เป็นทีมที่อันดับโลกสูงที่สุดในกลุ่มตอนนี้ นั่นก็คือ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” (ยูเออี) ตอนนี้อยู่ที่อันดับ 67 ของโลก

สำหรับยูเออี ยังคงใช้บริการของ “เบิร์ต ฟาน มาร์ไวก์” กุนซือชาวเนเธอร์แลนด์กุมบังเหียนไว้อยู่ แม้ว่าผลงานในเอเชี่ยนคัพไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะว่าในรอบรองชนะเลิศ พ่ายให้กับ “กาตาร์” ถึง 0-4 ชวดโอกาสเข้าชิงชนะเลิศในบ้านตัวเองไป

มาว่ากันด้วยผลงานในการเจอกับทีมชาติไทยดูบ้าง ล่าสุดที่เพิ่งเจอกันย้อนไปไม่นานเพียงแค่เดือนมกราคมที่ผ่านมาเท่านั้น ในศึก “เอเชี่ยนคัพ 2019” ที่ต้องเจอกันตั้งแต่นัดสุดท้ายของรอบแรก และเกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1

นอกจากนี้ ฟุตบอลโลกหนก่อนก็เจอกันในรอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้าย ครั้งนั้นนัดแรกเล่นที่บ้านยูเออี เอาชนะไปได้ 3-1 ก่อนที่อีกเกมเล่นที่ราชมังคลากีฬาสถานจะเสมอกันไป 1-1

 

ทีมต่อมาถือว่าเป็นคู่ปรับสำคัญในระยะหลังๆ นั่นก็คือ “ดาวทอง” “ทีมชาติเวียดนาม” ตอนนี้ถึงจะไม่อยากยกให้ แต่ก็คงต้องบอกว่าพวกเขาคือ “เบอร์ 1 ของอาเซียน” เพราะอันดับโลกสูงที่สุด รั้งอันดับที่ 96 เอาไว้

ซึ่งนี่นับว่าเป็นการโคจรกลับมาเจอกันในรอบเดียวกันนี้ ครั้งที่ 2 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว เพราะเมื่อ 4 ปีก่อนตอนคัดฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย รอบสอง ก็เจอกันในรอบนี้ ซึ่งตอนนั้นทีมชาติไทยสามารถเอาชนะเวียดนามแบบไปกลับได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลังจากการมาของ “ปาร์ก ฮัง ซอ” กุนซือชาวเกาหลีใต้ ทำให้ทีมเวียดนามชุดนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก

ผลงานช่วงหลังเองถือว่าดีกว่าทีมชาติไทยทุกชุด โดยเฉพาะล่าสุดกับการบุกมาลูบคมถึงถิ่นในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน” “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47″ ที่เฉือนเอาชนะทีมชาติไทยไปได้ 1-0 ด้วยกัน

จุดเริ่มต้นของความแข็งแกร่งของทีมเวียดนามชุดนี้คล้ายๆ กับช้างศึก คือเป็นการดันเด็กชุดยู-19 ที่พวกเขาเคยคุยเอาไว้ว่ารอให้เด็กชุดนี้โตก่อน แล้วก็ทำได้จริงๆ เสียด้วย

ตอนนี้เด็กชุดนี้รุ่นราวคราวเดียวกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “เหวียน กงเฟือง, เลอ ซวน เซือง” หรือ “เหวียน ควง ไฮ” ก็ตาม

 

มาถึง “เสือเหลือง” “มาเลเซีย” กันบ้าง ตอนนี้พวกเขาอยู่อันดับ 159 ของโลก และเป็นอันดับ 4 ของโซนอาเซียนด้วยกัน พวกเขาผ่านมาถึงรอบนี้ได้ ด้วยการลงเล่นรอบคัดเลือก รอบแรก เจอกับ “ติมอร์เลสเต” ก่อนจะเอาชนะรวดทั้งสองนัดด้วยสกอร์รวมมโหฬาร 12-2 ด้วยกัน

นอกจากนี้ ดีกรีล่าสุดของพวกเขาคือการคว้ารองแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” ซึ่งพ่ายให้กับเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศ แต่ทว่าพวกเขาสามารถผ่านทีมชาติไทย ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการยันเสมอในบ้าน 0-0 ก่อนจะบุกมาเสมอที่ไทย 2-2 ทำให้ทีมชาติไทยตกรอบไปแบบไม่แพ้ให้กับใครเลย

ตอนนี้โค้ชของมาเลเซียคือ “ทัน เฉิง เหอ” อดีตนักเตะที่ก้าวขึ้นมารับงานชุดใหญ่ หลังจากที่ “เนโล วินกาด้า” ลาออกจากทีมเซ่นผลงานที่ย่ำแย่ไป

จุดเด่นที่สุดของทีมเสือเหลือง ต้องยกให้การลงเล่นในบ้านที่บูกิต จาริล เนชั่นแนล สเตเดี้ยม ที่มีความจุมากกว่า 87,000 คน และสถิติในบ้านพวกเขา 10 เกมหลังสุด แพ้เพียงเกมเดียวเท่านั้นด้วย ซึ่งทีมชาติไทยชุดใหญ่ไปเยือนสนามนี้ 2 ครั้งหลังสุดยังไม่ชนะกลับมาอีกต่างหาก

 

ปิดท้ายที่ “เดอะ การูด้า” “อินโดนีเซีย” นี่นับเป็นอีกหนึ่งทีมที่ดูจะถูกโฉลกกับทีมชาติไทยเหลือเกิน เพราะเป็นการจับมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกรอบสอง เพราะว่า 4 ปีที่แล้วอยู่กลุ่มเดียวกัน เพียงแต่ว่าหลังจากจับสลากอินโดนีเซียโดนคำสั่งแบนจาก “สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ” (ฟีฟ่า) ทำให้ไม่ได้แข่งขันแม้แต่นัดเดียว

ตอนนี้อินโดนีเซีย ใช้บริการของ “ไซม่อน แม็กเมเนมี่” กุนซือชาวสกอตแลนด์เป็นคนนำทีม โดยพวกเขารั้งอยู่อันดับที่ 160 ของโลกในตอนนี้

ถ้าให้มองดูแล้วนี่คือทีมเดียวในกลุ่มนี้ ที่ทีมชาติไทยมีผลงานการเจอกันในระยะหลังๆ ที่ดีกว่า

โดยล่าสุดในเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเล่นกันที่ราชมังคลากีฬาสถานนั้น ไทยสามารถเอาชนะไปได้ถึง 4-2

ยังไม่รวมถึงเมื่อ 2 ปีก่อน ที่เจอกันในรอบชิงชนะเลิศรายการเดียวกันนั้น ไทยก็เป็นฝ่ายเอาชนะด้วยสกอร์รวม 3-2 และคว้าแชมป์ไปครองได้

 

สําหรับโปรแกรมของ “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง มีดังนี้ นัดแรก วันที่ 5 กันยายน พบ เวียดนาม (เหย้า) / นัดที่ 2 วันที่ 10 กันยายน พบ อินโดนีเซีย (เยือน) / นัดที่ 3 วันที่ 15 ตุลาคม พบ ยูเออี (เหย้า) / นัดที่ 4 วันที่ 14 พฤศจิกายน พบ มาเลเซีย (เยือน)

นัดที่ 5 วันที่ 19 พฤศจิกายน พบ เวียดนาม (เยือน) / นัดที่ 6 วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2563 พบ อินโดนีเซีย (เหย้า) / นัดที่ 7 วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2563 พบ ยูเออี (เยือน) / นัดที่ 8 วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2563 พบ มาเลเซีย (เหย้า)

เมื่อดูจากโปรแกรมแล้ว ต้องบอกว่าเกมที่น่าจะยากที่สุดคงเป็นเกมแรกที่จะต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของเวียดนาม เพราะฝั่งเราเองก็ต้องการประเดิมด้วยชัยชนะเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ

ส่วนทางฝั่งเวียดนามก็ต้องการมาย้ำแค้นไทยอีกสักหน เพื่อการประกาศศักดาว่าข้าคือเบอร์ 1 อาเซียนอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกันข้อดีของการมาอยู่ในกลุ่มนี้ อยู่ในช่วงระหว่างนัดที่ 4-5 เพราะว่าเป็นโปรแกรมสำคัญที่ไทยจะต้องเป็นฝ่ายออกไปเยือน 2 นัดติดต่อกัน ถ้าลองอยู่กลุ่ม เอ ไป “มัลดีฟส์” ต่อด้วย “ซีเรีย” หรือกลุ่มซี ที่เยือน “ฮ่องกง” ต่อด้วย “อิรัก”

แต่พอไทยมาอยู่ในกลุ่มนี้ คือการไปเยือนมาเลเซีย และเวียดนาม จริงอยู่ว่าทั้งสองนัดไม่ใช่งานง่ายแน่นอน แต่การที่ไทยเจอกับทีมในละแวกอาเซียนด้วยกัน ก็ช่วยในเรื่องการเดินทางได้มากทีเดียว

เพราะว่าถ้าหากไปอยู่กลุ่มอื่นๆ จะต้องมีปัญหาเรื่องของการเดินทางไกล ทำให้นักกีฬาไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้

 

“โค้ชเฮง” “วิทยา เลาหกุล” อุปนายกฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พูดถึงโอกาสเข้ารอบของทีมชาติไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจ

โดยเฮงซังมองว่าในกลุ่มนี้ ทุกทีมล้วนแต่มีศักยภาพในการตัดแต้มทีมที่ดีที่สุดของกลุ่มอย่างยูเออีได้ทุกทีมแน่นอน

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไทยจะต้องทำคือการเก็บผลงานในบ้านชนะรวดทุกนัดให้ได้

ถ้าหากสามารถการันตีเก็บ 12 แต้มเต็มในบ้านได้ ก็สามารถลุ้นเกมนอกบ้านสัก 1-2 เกม ก็จะการันตีการผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้แน่นอน

ถ้ามองแล้วว่านี่คือคู่แข่งระดับอาเซียนทั้งสิ้น ดังนั้น สิ่งที่ต้องตระหนักเอาไว้เลยก็คือ ถ้าหากไม่สามารถผ่านในระดับอาเซียนได้ ก็ไม่ต้องหวังไปเล่นในระดับเอเชีย หรือระดับฟุตบอลโลกนั่นเอง