คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อทวงศักดิ์ศรี “ช้างศึก” คืนบัลลังก์เบอร์ 1 อาเซียน

ความล้มเหลวของทีมฟุตบอล” “ช้างศึก” ในศึกชิงเจ้าลูกหนังอาเซียน” “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018” ด้วยการโดน “เสือเหลือง” “มาเลเซีย” เขี่ยตกรอบรองชนะเลิศ มันสะท้อนอะไรหลายๆ อย่างได้เป็นอย่างดี

“ช้างศึก” เป็นแชมป์เก่ารายการนี้เมื่อ 2 ปีก่อนด้วยฝีมือการคุมทีมของ “ซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” นั่นเป็นความภาคภูมิใจของแฟนบอลไทยทั่วประเทศ แม้ว่าอันดับโลกเราจะไม่ได้เป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน แต่ด้วยวิธีการเล่น และผลลัพธ์คือ” “แชมป์” ที่ได้มา มันทำให้แฟนบอลไทยยังมั่นใจเช่นเดิมว่า ไทยแลนด์คือ เบอร์ 1 ของอาเซียนเหมือนในอดีตที่ผ่านๆ มา

ฟุตบอลมันคือ “ศักดิ์ศรี” อันยิ่งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทยแลนด์อย่างเรา บารมีถูกสั่งสมกันมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น เราเป็นเจ้าอาเซียนมาตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น 2 ทัวร์นาเมนต์สำคัญของฟุตบอลไทยในอาเซียนที่จะเป็นตัวชี้วัด” “ศักดิ์” และ” “ศรี” ความเป็นเจ้าลูกหนังอาเซียนคือ 1.ซีเกมส์ 2.ชิงแชมป์อาเซียน (ซูซูกิ คัพ)

ฟุตบอล 2 ทัวร์นาเมนต์นี้ ไม่มีช่องว่างให้กับคำว่า “ผิดพลาด” สำหรับลูกหนังไทยโดยเด็ดขาด ทุกๆ ครั้ง ทีมงานสต๊าฟโค้ช ผู้บริหารสมาคม นักฟุตบอล รู้ดีว่า 2 รายการนี้ “พลาดแชมป์” ไม่ได้ เพราะถ้าพลาดขึ้นมาอาจถึงขั้น” “อยู่กันไม่ได้”

ณตอนนี้แฟนบอลไทยคงตาสว่างกันมากขึ้นแล้วว่า เราไม่ใช่เบอร์ 1 ของอาเซียน ที่ผ่านมาเราเพียงแค่” “หลอกตัวเอง” หลงระเริงอยู่กับความสำเร็จในอดีตโดยไม่ก้มหน้ายอมรับความจริงกันก็แค่นั้นเอง…!!!

เมื่อก่อนสมัยที่โซเชียลยังไม่เกิด หากล้มเหลวเต็มที่ก็โดนสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ รุมถล่ม รุมสับเละ พวกแฟนบอลไม่มีโอกาสได้ออกมาร่วมถล่ม ร่วมจวก ร่วมตำหนิอย่างทุกวันนี้ที่โลกโซเชียลเข้าถึงกลุ่มคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ใครๆ ก็มีโซเชียล ใครๆ ก็มีอาวุธ มีพื้นที่ของตัวเองในการวิพากษ์วิจารณ์

ดังนั้น การล้มเหลวของทีม” “ช้างศึก” คราวนี้กระแสสังคมร้อนแรงเพิ่มเป็นทวีคูณ…

บางคนเอามัน บางคนขอให้ได้ด่าเพื่อสะใจ บางคนติเพื่อก่อ บางคนติอย่างสร้างสรรค์ บางคนไม่สร้างสรรค์ บางคนแอบแฝงด้วยผลประโยชน์ บางคนโลกสวย บางคนหวังดีประสงค์ร้าย บางคน… ฯลฯ มีมากมายนานาจิตตังกันไป

ความล้มเหลวใน “ซูซูกิ คัพ 2018” มันจึงเป็นบทเรียนที่แสนสาหัสของทุกๆ ฝ่าย ไล่ตั้งแต่ผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่นำโดยหัวเรือใหญ่อย่าง “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคม, ฝ่ายเทคนิค ที่มี “เฮงซัง” “วิทยา เลาหกุล” นำทีม, เฮดโค้ชชุดใหญ่อย่าง “มิโลวาน ราเยวัช” รวมไปถึงทีมงานสต๊าฟ และนักเตะไทยทุกคน

ว่าถึงเวลาแล้วกระมังที่เราควรจะต้อง” “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อร่วมกันกอบกู้ศักดิ์ศรีฟุตบอลไทยกลับคืนมา

มันจึงเป็นภารกิจที่จะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่ายซะทีเดียวของทีมชาติไทย เพราะเราต้องก้าวข้ามเวียดนาม, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมถึงอินโดนีเซีย, พม่า และสิงคโปร์ อีกด้วย

แต่ถ้าเราเริ่มต้น “คิดใหม่ ทำใหม่” ซะตั้งแต่ตอนนี้ ในอีก 2 ปีข้างหน้า เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 เราน่าจะทวงแชมป์คืนมาได้ เช่นเดียวกับซีเกมส์ปีหน้าที่ฟิลิปปินส์ แม้จะมีเงื่อนไขเรื่องอายุนักเตะ แต่เราก็น่าจะป้องกันแชมป์ได้

ที่ผมไม่พูดเรื่องเอเชี่ยนคัพ ที่จะเกิดขึ้นต้นปี 2562 เพราะผมไม่เชื่อว่าเราจะไปได้ไกลถึงรอบ 16 ทีม หรือ 8 ทีม ตามที่ “มิโลวาน ราเยวัช” ให้คำมั่นเอาไว้…!!!

ใน” “ซูซูกิ คัพ” เราติดประมาทว่า ยังไงซะเราก็ป้องกันแชมป์ไว้ได้แน่นอน เพราะมาตรฐานลีกไทยเหนือชาติอาเซียน เราจึงติดประมาทกันอย่างที่เห็น ตัวหลักก็ไม่เรียกมา สไตล์การเล่นก็น่าเบื่อ

ธรรมชาติคนไทยไม่ชอบบอลเน้นรับ หรือภาษาฟุตบอลคือ” “รถบัส” แต่คนไทยชอบกล้าได้กล้าเสีย เปิดเกมบุกแลกกันไปเลย หากแพ้แบบมีทรงบอลและเล่นดี แฟนบอลเขารับกันได้ แต่ถ้าเล่นไม่ดี ไม่มีทรง และยิ่งแพ้ มันยิ่งอันตรายเป็นสองเท่า

ผมคงไม่กล้าไปสอนหนังสือสังฆราช หรือสอนจระเข้ว่ายน้ำ แต่อย่างที่บอกว่า เราต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เผื่อว่าทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หรือขาใหญ่อย่างวิทยา เลาหกุล จะยอมรับฟังเสียงจากรอบด้านดูบ้าง

ประการแรก เลิกซะทีเถอะกับการจ้างโค้ชจากยุโรป สรีระนักเตะไทยไม่สูงใหญ่ และถนัดลูกกลางอากาศเหมือนนักเตะอังกฤษ เยอรมนี ฯลฯ แล้วเราจะไปทำให้” “ช้างศึก” เล่นบอลยาว เน้นบอลโยน เล่นแบบอังกฤษ หรือเยอรมนี เพื่อ? ไอ้สไตล์ที่โค้ชคนเก่าอย่าง” “ซิโก้” เน้นเคาะสั้นตามช่อง สวยงาม ไม่เคยแหกตาดูกันหรือไง แล้วประสบความสำเร็จไหม ดูเอาเอง

ประการที่สอง ปรับทัศนคติให้เข้าใจธรรมชาติบอลไทย เราตัวเล็ก เรามีเบสิกพื้นฐานที่ดี เราทำไมไม่เล่นแบบอเมริกาใต้ บราซิล, อาร์เจนตินา หรือลูกผสมแบบเม็กซิโกไปล่ะ ถ้าคิดได้ก็ไปจ้างโค้ชมือดีพวกนี้มาคุมซะ เตะก้นโด่งพวกโค้ชยุโรปกลับบ้านไปซะเถอะ กี่ปีกี่ชาติก็ได้แค่นี้แหละ

ประการที่สาม ถ้าไม่จ้างโค้ชนอกจากอเมริกาใต้ แต่เลือกจะเอาโค้ชไทย ณ ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่คนที่เหมาะสม หนึ่งในนั้นคือ” “เฮงซัง” เองไง ว่าแต่จะกล้าลองเดินลุยไฟไหมล่ะ กล้าเสี่ยงไหมล่ะ อีกรายที่น่าจะไปได้ดีคือ “โค้ชแบน” “ธชตวัน ศรีปาน” ส่วน” “ซิโก้” ก็อย่างที่ทราบๆ กัน ถ้าจะกลับมาคุมคงต้องรอฟ้าเปลี่ยนสี

ประการที่สี่ เลิกระบบฝ่ายเทคนิคที่วางแผนกัน 2-3 คน และให้ตั้งคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคขึ้นมาเป็นองค์คณะกรรมการโดยตรง ในนั้นจะประกอบด้วยผู้คร่ำหวอด โค้ชมือดีจากทุกสโมสรในลีกสูงสุด และให้มีตัวแทนสื่อ (ขาใหญ่สายบอลที่เป็นกลาง) ร่วมอยู่ด้วย คณะกรรมการฝ่ายเทคนิคนี้จะจัดทำแผนงานทีมชาติทั้งหมด การเก็บตัวฝึกซ้อม การเลือกตัวนักเตะในแต่ละทัวร์นาเมนต์ เฮดโค้ชจะต้องร่วมหารือกับคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค เพื่อให้ได้คนที่ดีที่สุด (จริงๆ) และที่สำคัญทุกคนที่มาร่วมต้องทำงานโดยปราศจากอคติ ไม่เล่นพวก ทุกคนต้องเป็นกลาง แม้จะยาก แต่ถ้าทุกคนมองที่ประเทศชาติเป็นหลักมันจะทำได้

ประการที่ห้า ก่อนทัวร์นาเมนต์สำคัญๆ เช่น “ซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, ซูซูกิ คัพ, คิงส์คัพ, ปรีโอลิมปิก, คัดบอลโลก ฯลฯ” ให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ประกาศเงินรางวัลอัดฉีดให้ทีมชุดต่างๆ รับทราบล่วงหน้าเลย เพราะหลายครั้งหลายคราเราจะเห็นว่า นักเตะไทยวิ่งกัน” “ลืมตาย” “หากว่ามีเงินอัดฉีดก้อนโต วางอยู่ตรงหน้า

(โปรดอย่าดราม่า ว่าไม่รักชาติ)

ณตอนนี้กระแสแฟนบอลยังเดินหน้าไล่” “บิ๊กอ๊อด” พ้นจากเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็น่าเห็นใจ” “บิ๊กอ๊อด” นะครับ…

ผมไม่ใช่” “ติ่ง” ของ” “บิ๊กอ๊อด” ผมไม่ใช่” “ติ่ง” ของใครทั้งนั้น แต่ผมเป็น” “ติ่ง” ทีม” “ช้างศึก” ความคิดผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมไม่เห็นด้วยถ้าเราพลาดแชมป์” “ซูซูกิ คัพ” แล้วนายกสมาคมต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก เรามาไกลเกินที่จะย้อนกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ เพราะสิ่งที่ทำมามันจะ” “สูญเปล่า”

แต่เห็นด้วยที่ต้อง” “เปลี่ยนโค้ช” ให้เหมาะสมกับฟุตบอลไทย

ถ้าไม่เริ่ม “คิดใหม่ ทำใหม่” เราก็พายเรืออยู่ในอ่างเช่นนี้ต่อไป…