ปิดฉาก “เจลีก 2018” “ชนาธิป” กระหึ่ม “มุ้ย-อุ้ม” จ่อกลับบ้าน

แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา วงการฟุตบอลในบ้านเราอาจจะดูซบเซาไปบ้าง โดยเฉพาะฟุตบอลไทยลีกเองที่คนดูลดลงอย่างน่าใจหาย

แต่สิ่งที่พอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้ก็คือ การที่เริ่มมีนักเตะไทยโกอินเตอร์ ออกไปเล่นยังต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

จากเดิมทีที่ “เมสซี่เจ” *ชนาธิป สรงกระสินธ์* เป็นผู้เบิกทางเมื่อฤดูกาลก่อน ด้วยการไปเล่นครึ่งฤดูกาลหลังให้กับ “นกเค้าแมวเมืองเหนือ” *คอนซาโดเล่ ซัปโปโร* ก่อนจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยทีมให้รอดพ้นการตกชั้น และอยู่ในลีกสูงสุดต่อไปได้

ซึ่งคราวนี้เจ้าตัวก็ได้รับโอกาสแบบเต็มฤดูกาลเป็นฤดูกาลแรก แถมยังพาเพื่อนตามไปด้วยอีก 2 คน นั่นก็คือ “มุ้ย” *ธีรศิลป์ แดงดา* ดาวยิงสูงสุดของเมืองไทย ที่ได้ไปเล่นให้กับ “พลธนูม่วง” *ซานเฟรชเช่ ฮิโรชิม่า* กับทางด้านของ “อุ้ม” *ธีราทร บุญมาทัน* แบ๊กซ้ายเบอร์ 1 ของประเทศ ไปเล่นให้กับ *วิสเซล โกเบ*

ถือว่าเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทยเลยก็ว่าได้ ที่มีนักเตะไทยไปเล่นในลีกสูงสุดของญี่ปุ่นพร้อมกันถึง 3 คนแบบนี้

ซึ่งบทสรุปของฟุตบอล “เมจิ ยาสุดะ เจลีก วัน” ในฤดูกาลนี้นั้น แชมป์ก็ตกเป็นของแชมป์เก่าอย่าง *คาวาซากิ ฟรอนตาเล่* พร้อมคว้าโควต้า *เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก* รอบแบ่งกลุ่มไป

ขณะที่ซานเฟรชเช่ ฮิโรชิม่า กับ *คาชิม่า แอนต์เลอร์ส* คว้าอันดับ 2-3 ได้เล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบคัดเลือก

ส่วนคอนซาโดเล่ ซัปโปโร จบอันดับ 4 ยังมีลุ้นเล่นในถ้วยเอเชีย ขึ้นอยู่กับผลงานของคาชิม่า แอนต์เลอร์ส ในถ้วยเอ็มเพอเรอร์ คัพ เสียก่อน

ฝั่งวิสเซล โกเบ จบอันดับที่ 10 เท่านั้น และในโซนหนีตาย วี-วาเรน นากาซากิ กับคาชิวะ เรย์โซล ตกชั้น ส่วนจูบิโล่ อิวาตะ ต้องเพลย์ออฟเพื่อหนีตกชั้นต่อไป

แต่ถ้ามาดูเฉพาะผลงานของนักเตะไทยทั้ง 3 คนแล้ว ถือว่าสอบผ่านกันทั้งหมด เพียงแต่จะผ่านกันในแบบไหน คงต้องมาเจาะลึกกันดู

แน่นอนว่าคนที่อยู่ในทีมที่มีผลงานดีที่สุดก็คือทางด้านของเจ้ามุ้ย แม้ว่าผลงานส่วนตัวอาจจะจัดได้ว่าสอบผ่านแบบฉิวเฉียดก็ตาม

มุ้ยเริ่มต้นด้วยการที่ต้องต่อสู้กับกองหน้าที่มีอยู่ในทีมเป็นจำนวนมาก แต่ก็กลับเปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อเป็นผู้ซัดประตูชัยตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนาม ในเกมที่เอาชนะซัปโปโรของเจ้าเจไปได้ 1-0 หลังจากนั้นก็ได้ออกสตาร์ตตัวจริง 4 เกมติดๆ กัน

แต่พอเล่นไปเล่นมา ส่วนร่วมกับทีมเริ่มน้อยลง และก็กลายเป็นตัวสำรองบ่อยขึ้น ซึ่งสรุปแล้วทั้งฤดูกาล ธีรศิลป์ได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 32 นัด ยิงได้ 6 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์ และ 3 ใบเหลือง รวมเวลาที่อยู่ในสนามทั้งสิ้น 1,581 นาที

นอกจากนี้ยังมีเกมเจลีก คัพ ที่ลงไป 5 นัด ยิงไปอีก 1 ประตู เป็นประตูชัยที่พาทีมเอาชนะนาโกย่า แกรมปัส เอต ไปได้

มาถึงคนต่อไป ที่แม้ว่าฟอร์มทั้งของทีมหรือว่าส่วนตัวอาจจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ต้องบอกว่าเขากลายเป็นนักเตะไทยที่โชคดีที่สุดในการไปค้าแข้งครั้งนี้ก็ได้ นั่นก็คือ “โก๋อุ้ม” ธีราทร เพราะว่าเขาได้ร่วมงานกับนักเตะระดับโลกหลายต่อหลายคน

ว่ากันด้วยเรื่องของสถิติก่อน แม้ว่าช่วงต้นฤดูกาล ธีราทรอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย กว่าจะสอดแทรกขึ้นมาเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง จะได้ลงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกมเจลีก คัพ ที่ลงไป 4 นัด ทำ 1 แอสซิสต์ แล้วก็ยังมีเอ็มเพอเรอร์ คัพ ที่ได้เล่นอีก 3 เกมกับ 1 แอสซิสต์ แต่ช่วงกลางๆ อุ้มเริ่มได้โอกาสมากขึ้น และลงสนามในลีกรวมทั้งสิ้น 28 นัด ทำได้ 2 แอสซิสต์

ต้องยอมรับว่าด้วยตำแหน่งเขาจะไปหวังเรื่องของการทำประตูก็คงไม่ใช่ เพราะเจ้าตัวเองก็เล่นกองหลังเป็นหลักเสียด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่ต้องน่าอิจฉาสำหรับเจ้าอุ้มคือการที่เจ้าตัวได้ใช้ห้องแต่งตัวร่วมกับนักเตะที่เคยผ่านการเป็นแชมป์โลกมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ *ลูคัส โพดอลสกี้* กองหน้าทีมชาติเยอรมนีชุดแชมป์โลกปี 2014 ก่อนที่ช่วงกลางฤดูกาลจะได้เล่นร่วมกับ *อันเดรียส อิเนียสต้า* อดีตกองกลางทีมชาติสเปน ที่คว้า 3 แชมป์เมเจอร์ติดต่อกันได้ แถมในนัดสุดท้าย *ดาบิด บีญ่า* กองหน้าเพื่อนร่วมทีมชาติของอิเนียสต้า ที่ได้ตกปากรับคำจะมาเล่นในฤดูกาลหน้า ก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องแต่งตัวด้วย

เรียกได้ว่าโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ที่ไหนง่ายๆ อย่างแน่นอน

แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกันทั้ง 3 นักเตะไทยที่ไปเล่นในเจลีกปีนี้แล้ว คนที่ฟอร์มดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “เมสซี่เจ” ชนาธิปนั่นเอง แค่ผลงานของทีมก็ถือว่ากินขาด เพราะพาทีมจากที่หนีตกชั้น ขึ้นมาลุ้นพื้นที่ไปเล่นถ้วยเอเชีย และสร้างประวัติศาสตร์อยู่เล่นบนลีกสูงสุดติดต่อกัน 2 ฤดูกาลได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย

จริงๆ ตอนช่วงต้นฤดูกาล เจ้าเจเองก็เจอปัญหารุมเร้า ทั้งเรื่องของความรักกับดาราสาวอย่าง “เมย์” *พิชญ์นาฏ สาขากร* ที่เป็นอันต้องยุติความสัมพันธ์ลงไป จนกระแสตีไปทางนักเตะหนุ่มให้เครียดอยู่เรื่อยๆ

ไหนจะยังมีการเปลี่ยนแปลงภายในทีม การมาของกุนซือคนใหม่อย่าง *มิไฮโล เปโตรวิช* จะทำให้ตำแหน่งตัวจริงสั่นคลอนหรือไม่ แต่เจ้าเจก็แสดงออกมาให้เห็นว่าเขาคือของจริง สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดนี้มาได้พร้อมกับทำผลงานได้ระเบิดระเบ้อเลยทีเดียว

เจทำประตูแรกของตัวเองในเจลีก ในเกมที่ 2 ของฤดูกาลช่วยให้ทีมเสมอกับ *เซเรโซ่ โอซาก้า* 3-3 จากนั้นก็ทั้งยิง-จ่าย ในเกมเจอกับ *วีวี วาเรน นากาซากิ* และเอาชนะไป 2-1 ซึ่งทีมนี้ถือว่าเป็นทีมถูกโฉลกกับชนาธิป เพราะอีกเกมที่เจอกันก็ยังทำได้อีกประตูด้วย

เมื่อจบฤดูกาลแล้ว สถิติของชนาธิปในลีกคือลงสนาม 30 นัด ยิงไป 8 ประตู ทำได้ 2 แอสซิสต์ รวมเวลาอยู่ในสนาม 2,640 นาที และในเอ็มเพอเรอร์ คัพ อีก 1 นัด ทำได้ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ แถมยังมีสถิติคือนัดใดที่ยิงได้ทีมจะไม่แพ้อีกด้วย

ผลงานของเจ้าเจดีมากๆ จนสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของทีมไปได้ จากการที่มีคนโหวตให้ถึง 11 คน จาก 22 เสียง เอาชนะกัปตันทีมอย่าง *ฮิโรกิ มิยาซาวะ* กองกลางที่ได้รับโหวตเป็นอันดับ 2 ด้วยคะแนน 4 คะแนนด้วยกัน

ในส่วนของเจ้าเจนั้น ตอนนี้แน่นอนแล้วว่าฤดูกาลหน้าเจ้าตัวคงจะได้เล่นให้กับคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ต่อไป หากไม่มียักษ์ใหญ่ในลีกทีมใดมาทุ่มเงินเพื่อดึงตัวไปร่วมทีม เพราะเจ้าตัวเองก็เซ็นสัญญาถาวรกับนกเค้าแมวเมืองเหนือไปเป็นที่เรียบร้อย แถมยังมีข่าวว่าเจ้าตัวจะได้สวมเบอร์ 10 เสียด้วย

แต่ในส่วนของธีรศิลป์และธีราทรนั้นอาจจะต้องลุ้นเสียหน่อย รายแรกทางฮิโรชิม่าอยากจะยืดสัญญายืมตัวออกไป แต่ทาง “กิเลนผยอง” *เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด* เองก็อยากจะขายขาด ส่วนทางด้านของธีราทร จากสัมภาษณ์ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการต่อสัญญา และคงกลับมาเล่นในไทยฤดูกาลหน้า

แต่ไม่ว่าอนาคตของทั้ง 3 คนในฤดูกาลหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งสำคัญคือการที่ทั้ง 3 คนได้ประสบการณ์จากเจลีกกันมาอย่างเต็มที่ในฤดูกาลนี้ จะมาเป็นส่วนสำคัญให้กับทัพ “ช้างศึก” *ทีมชาติไทย* ที่จะลุย “เอเชี่ยนคัพ 2019” ต้นปีหน้าอย่างแน่นอน

ชักอยากจะดูทีมชาติไทยแบบเต็มๆ ทีมซะแล้วสิ