“เดอะ แมตช์” อนาคตกอล์ฟ และการทดลองที่ล้มเหลว

สุดสัปดาห์ก่อน วงการกอล์ฟโลกได้ทดลองอะไรแปลกใหม่ กับการดวลวงสะวิงรายการพิเศษ “เดอะ แมตช์” ที่จับสองยอดฝีมือที่เก่งที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์มาแข่งขันในระบบแมตช์เพลย์แบบวันเดียวจบพร้อมเดิมพัน 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (297 ล้านบาท)

เอ่ยชื่อ “ไทเกอร์ วู้ดส์” กับ “ฟิล มิกเคลสัน” ไม่มีแฟนกอล์ฟคนไหนไม่รู้จัก ต่อให้ไม่ติดตามกีฬานี้มากนักก็ต้องคุ้นหูกันบ้าง ดังนั้น ไอเดียเรื่องจับสองคนนี้มาแข่งกันจึงได้รับการตอบรับที่ดีจากสื่อกีฬาส่วนใหญ่

อีกประเด็นที่ถือเป็นความแปลกใหม่คือ รูปแบบการจัดการแข่งขันและการโปรโมตที่ให้อารมณ์เหมือนกำลังติดตามมวยอาชีพชิงแชมป์โลกไฟต์ใหญ่ยังไงบอกไม่ถูก

เพราะมีตั้งแต่การขายเพย์-เพอร์-วิวให้คนที่สนใจ โดยสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งจะเป็นโต้โผจ่ายค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอด จากนั้นขายแพ็กเกจดูแมตช์นี้ให้ผู้ชมที่สนใจ

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการวางเดิมพันเป็นเงินสดก้อนใหญ่ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบๆ 300 ล้านบาท ก่อนแข่งไม่กี่วันก็จัดแถลงข่าวเชิญไทเกอร์กับฟิลมายืนเผชิญหน้ากัน แม้จะไม่ได้ผลักอก ด่าทอ หรือกวนประสาทกันเหมือนพวกนักมวยอาชีพ แต่ทั้งคู่ก็รู้จักเพิ่มอรรถรสด้วยการท้าทายกันเองด้วยเดิมพันส่วนตัวสร้างสีสันให้กับงานแถลง

เรียกว่าทั้งชื่อเสียงและความเก๋าเกมไม่ใช่ปัญหาสำหรับทั้ง 2 คน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องฝีมือที่เริ่มโรยราตามวัย เพราะทั้งคู่ต่างก็เลยจุดพีกของตัวเองไปแล้ว

และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่หลายคนกลัว คือมาตรฐานของเกมไม่ได้สูงอย่างที่หลายคนต้องการ บางคนถึงขั้นแสดงออกแบบชัดเจน

“รอรี่ แม็กอิลรอย” อดีตโปรมือ 1 ของโลกชาวไอร์แลนด์เหนือ บอกว่า ตัวเองคงไม่ได้ซื้อแพ็กเกจดูแมตช์นี้, “นิก ฟัลโด้” ตำนานกอล์ฟเมืองผู้ดีบอกว่าเป็นแมตช์ที่ไร้ความหมาย เพราะตอนนี้ฟอร์มของทั้งคู่ไม่ใช่โปรกอล์ฟคนเก่งคนเดิมอีกต่อไป ยืนยันได้จากศึก “ไรเดอร์คัพ” หนล่าสุดที่ไทเกอร์กับฟิลทำแต้มให้สหรัฐอเมริกาไม่ได้แม้แต่แต้มเดียว

ขณะที่ “เอ๊ดดี้ เพ็พเพอเรลล์” โปรกอล์ฟจากสหราชอาณาจักร หยันว่า ยุคนี้หานักกอล์ฟที่เอาชนะไทเกอร์กับฟิลได้เป็น 100 คน แม้แต่ “ชาร์ลส์ บาร์กลีย์” ตำนานบาสเกตบอลที่รักกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจยังวิจารณ์ว่าคุณภาพเกมต่ำมาก

จากที่ก่อนแข่ง “เดอะ แมตช์” หลายสื่อจับตามองว่านี่อาจเป็นอนาคตของ “กอล์ฟทางทีวี” ในรูปแบบใหม่ แต่หลังแข่งใครๆ ก็เริ่มไม่แน่ใจซะแล้ว จะเอาไปเปรียบกับมวยอาชีพที่ขายเพย์-เพอร์-วิวเหมือนกัน โดยเฉพาะไฟต์หยุดโลกระหว่าง “ฟลอยด์ เมย์เวตเธอร์ จูเนียร์” กับ “แมนนี่ ปาเกียว” เมื่อ 3 ปีที่แล้วก็มีความต่างในความเหมือนกันอยู่

เพราะถึงคู่นั้นจะโรยกันแล้ว แต่อย่างน้อยก็เป็นการชกที่มีเข็มขัดแชมป์โลกเป็นเดิมพัน ไม่ใช่แค่แมตช์ดวลกันขำๆ ที่มีเงินก้อนโตให้ดูตื่นตาตื่นใจ แถมยังติดไมค์ให้ได้ยินต่างฝ่ายแซวหรือข่มกันไปมาแบบนี้

“เดอะ แมตช์” จึงไม่ใช่คู่กอล์ฟสะท้านโลกอย่างที่ใครคาดหวัง ถึงขั้นหลายคนแสดงความเป็นห่วงด้วยซ้ำ ถ้านี่จะเป็น “ทิศทาง” หรือ “อนาคต” ของวงการกอล์ฟโลก

กล่าวคือ ไอเดียต้นทางนั้นดี แต่พอทำออกมาแล้วกลับน่าผิดหวัง เพราะเป็นการจับคู่ที่ถูกคน แต่อาจไม่ถูกที่หรือถูกเวลานัก

ว่าไปแล้วแมตช์ที่นักกอล์ฟระดับมือท็อปของโลกต้องมาดวลกันในเกมสำคัญที่มีความหมายในปีนี้นั้น ถ้าไม่นับศึก “ไรเดอร์คัพ” แล้ว คงต้องยกให้ถ้วย “อินเตอร์เนชั่นแนล คราวน์” ของฝ่ายหญิงเมื่อเดือนตุลาคม

โดยเฉพาะในประเภทเดี่ยวซึ่งบังเอิญ” “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล” กับ “ปาร์ก ซอง ฮยอน” มือ 1 และ 2 ของโลกมาประกบคู่เจอกันพอดี

แมตช์นั้นเกมการแข่งขันถือว่ามาตรฐานสูง ไม่มีใครยอมใคร ถึงจะผิดพลาดก็มีช็อตแก้ไข มีทั้งช็อตขึ้นกรีนสวยๆ การพัตต์ไกลที่แม่นยำ ทั้ง 2 ฝ่ายสู้กันจริงจัง เพราะแบกน้ำหนักของธงชาติบนเสื้อ ก่อนที่สุดท้ายชัยชนะจะตกเป็นของโปรเมแบบคนดูคุ้มค่าสนุกสนาน

เรียกว่าเป็นการประกบคู่ที่ตรงคอนเซ็ปต์ทุกอย่าง ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลามาก หากเทียบกับ “เดอะ แมตช์” จะต่างก็ตรงกอล์ฟหญิงไม่ได้รับความนิยมเท่ากับกอล์ฟชาย และทั้งคู่ไม่ใช่ชาวอเมริกัน

ไม่อย่างนั้นแมตช์ดังกล่าวคงถูกกล่าวถึงแบบทวนซ้ำตลอดปีจนถึงทุกวันนี้ไปแล้ว