ผ่าความล้มเหลวทัพไทยในเอเชี่ยนเกมส์ บทเรียนครั้งใหญ่สู่การยกเครื่องกีฬาไทยใหม่!

ผ่าความล้มเหลวทัพไทยในเอเชี่ยนเกมส์ บทเรียนครั้งใหญ่สู่การยกเครื่องกีฬาไทย

ทัพนักกีฬาทีมชาติไทยปิดฉากทำผลงานคว้าไปได้รวมทั้งสิ้น 11 เหรียญทอง 16 เหรียญเงิน 46 เหรียญทองแดง ในมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่กรุงจาการ์ตา และเมืองปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย…

ถือเป็นผลงานต่ำกว่าศึกเอเชี่ยนเกมส์เมื่อ 4 ปีก่อน ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งทัพไทยคว้าได้ 12 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน 28 เหรียญทองแดง รั้งอันดับ 6 ตารางรวมเหรียญ แต่ครั้งนี้ร่วงไปอยู่อันดับ 12 และหลุดอันดับท็อป 10 ในรอบ 20 ปี!

ขณะที่ยอดเงินรางวัลอัดฉีดของทัพนักกีฬาไทยจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รับรวมกว่า 279.65 ล้านบาท ตามหลักเกณฑ์ เหรียญทองละ 2 ล้านบาท เหรียญเงินละ 1 ล้านบาท และเหรียญทองแดงละ 5 แสนบาท

สมาคมกีฬาที่รับเงินอัดฉีดหนักที่สุดคือ ตะกร้อ คว้า 4 เหรียญทอง จากประเภททีมชุดชาย, ทีมคู่ชาย, ทีมชุดหญิง และทีม 4 คนหญิง รวม 78 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินรางวัลผู้ฝึกสอน และสมาคมอีก 30 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 108 ล้านบาท

แต่ศึกเอเชี่ยนเกมส์ 2018 มีสมาคมกีฬาที่ทำผลงานได้น่าประทับใจ แต่ก็มีบางชนิดกีฬาที่ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง และไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรก

จนถือเป็นความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ของวงการกีฬาไทยในรอบ 20 ปี

“การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)” ในฐานะหน่วยงานเตรียมนักกีฬาทีมชาติไทยได้ดำเนินการร่วมกับ “คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ” ได้มีการประเมินความหวังเหรียญทองตอนแรกไว้ที่ 17 เหรียญทอง ประกอบด้วย

เรือพาย แคนู-คยัค 2 เหรียญทอง, จักรยาน 1 เหรียญทอง, ยกน้ำหนัก 1 เหรียญทอง, เรือใบ 2 เหรียญทอง, เทควันโด 1 เหรียญทอง, เรือยาว 2 เหรียญทอง, โบว์ลิ่ง 1 เหรียญทอง, ยูยิตสู 1 เหรียญทอง, ปันจักสีลัต 1 เหรียญทอง, ตะกร้อ 4 เหรียญทอง และเจ๊ตสกี 1 เหรียญทอง

แต่เมื่อถึงช่วงเวลาแข่งขันจริงที่ต้องเจอกับปัจจัยสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งสภาพร่างกายความฟิตนักกีฬา สภาพจิตใจ สภาพแวดล้อม

จนทำให้ทัพไทยในหลายชนิดกีฬาทำผลงานได้ต่ำกว่าเป้าหมาย

เมื่อวิเคราะห์จำแนกลงไปในแต่ละชนิดกีฬาความหวังเหรียญทองของทัพไทยและผลงานที่ออกมาจะสามารถประเมินผลงานออกมาได้ดังต่อไปนี้

“เรือพาย แคนู-คยัค” ตั้งเป้า 2 เหรียญทอง แต่คว้าเพียง 7 เหรียญทองแดง จากเรือพาย 3 เหรียญทองแดง, เรือคยัค และเรือแคนูหญิง อย่างละ 2 เหรียญทองแดง เป็นผลงานที่ผิดคาดอย่างมาก

จักรยาน ตั้งเป้า 1 เหรียญทอง และทำได้สำเร็จจาก จาย อังคสุทธาสาวิทย์ ประเภทลู่คิรินชาย อีกทั้งยังคว้าเพิ่มจากประเภทเสือภูเขา 1 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง, ประเภทบีเอ็มเอ็กซ์ 1 เหรียญเงิน และประเภทถนนอีก 1 เหรียญทองแดง

“ยกน้ำหนัก” วางเป้า 1 เหรียญทอง นำโดย 2 จอมพลังฮีโร่สาวโอลิมปิกเกมส์ 2016 “โสภิตา ธนสาร” และ “สุกัญญา ศรีสุราช” แต่กลับทำผลงานได้เพียง 1 เหรียญ 6 เหรียญทองแดง และไม่มีเหรียญทองเลย

“เรือใบ” หวังไว้ 2 เหรียญทอง โดยมี “กีรติ บัวลง” และ “กมลวรรณ จันทร์ยิ้ม” ดีกรีโอลิมปิกเกมส์ แต่พอแข่งขันจริงต้องเจอกับสภาพคลื่นลมทะเลไม่เป็นใจ จนคว้าได้เพียง 3 เหรียญทองแดง

“เทควันโด” ตั้งไว้ 1 เหรียญทอง แต่ทำเกินเป้าได้ 2 เหรียญทอง จากประเภทต่อสู้ “พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ” และอีกเหรียญทองได้จากประเภทพุมเซ่ทีมหญิง “เพ็ญกัญญา ไพศาลเกียรติกุล, อรนวีย์ ศรีสหกิจ, กชวรรณ ชมชื่น”

“เรือยาว” คาดหวัง 2 เหรียญทอง แต่ได้เพียง 2 เหรียญทองแดง จากประเภทเรือยาวมังกร 10 ฝีพาย ทั้งทีมชาย และทีมหญิง ถือว่าเป็นผลงานต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมินเอาไว้ในตอนแรก

“โบว์ลิ่ง” ตั้งเป้า 1 เหรียญทอง แต่ทัพทอยแก่นไทยไร้เหรียญติดมือกลับมาแม้แต่เหรียญเดียว ทำให้เป็นผลงานที่ย่ำแย่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา

“ยูยิตสู” ตั้งเป้า 1 เหรียญทอง ทว่าได้เพียง 1 เหรียญทองแดงจากประเภทเนวาซ่า “บรรพต เลิศไธสง” ส่วนเหรียญทองที่วาดฝันกันเอาไว้นั้น ไม่สามารถคว้ามาคล้องคอได้สำเร็จ

“ปันจักสีลัต” หวัง 1 เหรียญทอง ทำได้ 2 เหรียญเงิน จากประเภทร่ายรำเดี่ยวชาย “อิสยาส สาดารา” และประเภทร่ายรำคู่หญิง “อรญา ชูสุวรรณ์, เสาวณี จันทรมุณี” รวมทั้งยังเก็บอีก 5 เหรียญทองแดง พลาดเป้าไป

“ตะกร้อ” วางเป้า 4 เหรียญทอง และไม่ทำให้ผิดหวังกวาดเรียบ 4 เหรียญทอง ประกาศศักดาครองเจ้าเอเชี่ยนเกมส์ได้อีกสมัย แต่ถือว่าทัพลูกพลาสติกไทยทำผลงานได้ตามมาตรฐาน เพราะตะกร้อเป็นกีฬาที่ชาติอื่นยากจะต่อสู้กับไทยได้

“เจ๊ตสกี” คาดหวัง 1 เหรียญทอง นักบิดไทยทำได้สำเร็จ 1 เหรียญทองจากประเภทรันอะเบาต์ 1100 สต๊อก “อรรถพล คุณสา” อีกทั้งยังบวกเพิ่มได้อีก 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง นับว่าทำผลงานได้ตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีชนิดกีฬาใหม่ที่เป็นม้ามืดเบียดคว้าเหรียญทองให้กับทัพไทย อย่างเช่นกีฬาทางอากาศ คว้าถึง 2 เหรียญทอง จากประเภทร่มร่อนทีมหญิง และบุคคลหญิง นันท์ณภัส ภุชฌงค์ รวมทั้งยิงเป้าบิน คว้า 1 เหรียญทองจากสุธิยา จิวเฉลิมมิตร ประเภทสกีตหญิง

ด้านกีฬามหาชนอย่าง “ฟุตบอล” ตั้งเป้าผ่านเข้ารอบตัดเชือก ทั้งทีมชายและทีมหญิง แต่พอเอาเข้าจริง “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลชายไทย กระเด็นตกรอบแรกแบบพลิกความคาดหมาย ขณะที่ “ชบาแก้ว” ทีมฟุตบอลหญิงไทย ผ่านรอบแรกด้วยการไร้แต้ม ก่อนจอดป้ายเพียงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น!

ขณะที่ “แบดมินตัน” เป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ได้รับความสนใจตั้งเป้าไว้แค่ติดอันดับ 1 ใน 3 และก็ทำผลงานคว้ามาได้ 1 เหรียญทองแดง จากประเภททีมหญิง ถือเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ทำผลงานได้ตามมาตรฐาน

“วอลเลย์บอล” ตั้งเป้าผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศหลังจากที่เมื่อ 4 ปีก่อนคว้าเหรียญทองแดงมาครอง แต่ครั้งนี้กลับสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการทะลุผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่

แม้ว่าทัพนักตบลูกยางสาวไทยจะได้เพียงรองแชมป์ แต่ถือเป็นชนิดกีฬาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้ ต่างจากชนิดกีฬาอื่นๆ ที่ทำผลงานย่ำอยู่กับทีม หรือถอยหลังลงคลอง

ด้านมวยสากลสมัครเล่น นักชกชายไทยโชว์ฟอร์มน่าผิดหวัง ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เลยแม้แต่รุ่นเดียวเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี โดยมีเพียงนักชกหญิงรุ่นเดียวที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงได้จากรุ่น 60 กิโลกรัมหญิง สุดาพร สีสอนดี

“บิ๊กต้อม” “ธนา ไชยประสิทธิ์” หัวหน้าคณะนักกีฬาไทย ระบุว่าผลงานหลายชนิดกีฬาไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะเจอปัญหาอาการอ่อนล้าและบาดเจ็บ เนื่องจากนักกีฬามีโปรแกรมแข่งขันตลอดปี รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องกลับไปพูดคุยกันเพื่อหาทางแก้ไขต่อไป

หลังจบศึกเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ครั้งนี้ กกท. และคณะกรรมการโอลิมปิคไทยฯ คงจะเรียกทุกสมาคมกีฬาเข้ามาชี้แจงผลงานก่อนมาวิเคราะห์ว่า สาเหตุของความล้มเหลวในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร?

จากนั้นคงจะต้องยกเครื่องกันใหม่ในแผนการเตรียมนักกีฬาไทยอีก 2 ปีข้างหน้าคือกีฬาซีเกมส์ 2019 และมีความเป็นไปได้ว่าจะบรรจุกีฬาชนิดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น จึงต้องเตรียมนักกีฬาให้หลากหลายมากขึ้นด้วย

รวมทั้งแผน “โร้ด ทู โตเกียว” ไปสู่ในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นมหกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าเอเชี่ยนเกมส์หลายเท่าตัว และทวีคูณความเข้มข้นอีกหลายดีกรี

จากความล้มเหลวของทัพไทยในศึกเอเชี่ยนเกมส์ 2018 น่าจะเป็นสัญญาณเตือนให้เห็นว่าวงการกีฬาไทยกำลังถดถอยลงไป ผิดกับชาติอื่นที่เขาพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด

และจะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ เพื่อให้ทุกภาคส่วนช่วยกันยกเครื่องพัฒนาวงการกีฬาไทยให้ดีขึ้นกว่านี้ มิเช่นนั้นแล้วเราอาจจะถอยหลังลงไปจนสุดคลองก็เป็นได้…